MCU

Coffee Society

Coffee Society

Pairing: Stephen strange x Everett ross

Note: กาวล้วนๆ อย่าถามหาความจริงเลย…

 

 

 

 

– COFFEE SOCIETY –

 

 

 

เอเจนท์เอเวอร์เรต รอสกำลังปวดหัวกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

 

“สรุปว่ามันเรียกว่าผ้าคลุมตัวเบาสินะ” เขาทวนสิ่งที่จอมเวทย์ตอบกลับคำถามเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ก่อนจะเขียนคำตอบนั้นลงไปในสมุดพกที่หยิบติดตัวมา ตอนนี้รอสจำเป็นต้องมาซักประวัติของจอมเวทย์ที่ชื่อแปลกกับหน้าแปลกยังความคิดแปลกประหลาดอีกเมื่อจู่ๆเจ้าตัวที่ปฏิเสธคำเชิญเข้ารวมกลุ่มอเวนเจอร์เมื่อสามวันก่อนก็มาโผล่พรวดที่ห้องประชุมที่สมาชิกอยู่ครบองค์ก่อนจะตอบตกลงกลางอากาศอย่างไม่มีการมาอารัมภบทแล้วก็ดึงเขาที่นั่งประชุมอยู่มาอีกที่ผ่านวงเวทย์ที่เจ้าตัวเดินออกมาอย่างไม่สนใจใคร

 

มามันทั้งเก้าอี้ที่นั่งประชุมอยู่นั่นแหละ

 

รอสนั่งเขียนไปเรื่อยๆขณะที่ปากก็เอ่ยถามจอมเวทย์โดยที่สายตาไม่ละจากสมุดพกของตัวเอง

 

“แล้วก่อนหน้านั้นทำอะไรอยู่ที่ไหนหรือครับ”

 

จอมเวทย์ยกยิ้มบางเบา “ผมเป็นศัลยแพทย์…เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วมือใช้การไม่ได้ เลยกลายเป็นหมอที่หมดอาลัยตายอยากจนกระทั่งมีคนแนะนำให้มารักษาที่คามาร์ทาช และผมก็ได้เป็นจอมเวทย์” สตีเฟ่น สเตรนจ์ร่ายยาวเหยียดทำให้เอเจนท์รอสละจากสมุดพกในมือตนขึ้นมามองด้วยสายตาสงสัยก่อนจะกลับลงเขียนใหม่

 

สเตรนจ์มองเจ้าหน้าที่ตัวเล็กตรงหน้าอย่างพิจารณา

 

ถ้ารู้ว่าคนที่ส่งจดหมายเชิญร่วมทีมอเวนเจอร์เป็นคนๆนี้เขาคงจะตอบกลับไปทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงสามวันหรอก

 

 

 

..

 

.

 

 

เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้รับจดหมายมาฉบับหนึ่ง

 

ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ใช้อีเมล์ส่งมาแต่มันก็น่าสงสัยอีกอย่างเมื่อจดหมายฉบับนั้นจ่าหน้าซองถึงเขาโดยตรงโดยที่ไม่มีชื่อของผู้ส่ง ราวกับมันถูกวางไว้เฉยๆโดยใครสักคนที่เดินผ่านมา จอมเวทย์ที่สะลึมสะลือจากการเพิ่งตื่นลุกขึ้นไปเปิดประตูที่ถูกเคาะเขาเปิดมันออกแต่กลับไม่พบใครนอกจากจดหมายน่าสงสัยนั่นวางแหมะอยู่บนพื้นเท่านั้น

 

เนื้อหาบนจดหมายนั่นก็ไม่มีอะไรมากนอกจากตัวอักษรจากเครื่องพิมพ์ที่เขียนข้อความเชิญเข้ากลุ่มอะไรสักอย่างที่เรียกว่าอเวนเจอร์ ก่อนจะตามด้วยพิกัดสถานที่นัดพบแล้วท้ายกระดาษก็ลงชื่อผู้ส่งไว้ จอมเวทย์ขย้ำจดหมายทิ้งอย่างไม่สนใจแต่ทว่าเนื้อหาทุกตัวอักษรได้เข้ามาอยู่ในหัวเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันกำลังถูกย้ายลงส่วนข้อมูลไม่สำคัญอย่างเงียบๆภายในหัว

 

จู่ๆวันหนึ่งก็นึกครึ้มใจแปลกประหลาดถอดผ้าคลุมให้อยู่ที่ห้องพักของตนในนิวยอร์ก เก็บสร้อย วางแหวน แล้วสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงยีนส์สีเข้มที่ดูเข้ากันก่อนออกจากที่พักไปโดยไม่ลืมหยิบแว่นดำสวมไปด้วย

 

ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เรียกว่าอเวนเจอร์นั้นคืออะไรจึงไปตามที่พิกัดในจดหมายนั้นบอกแล้วก็เจอตึกสูงใจกลางเมืองที่ผู้คนสวมชุดสูททางการเดินเข้าออกอยู่ตลอดเวลา จอมเวทย์ในคราบคนธรรมดาเดินไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สั่งเมนูที่ทานเป็นประจำจากร้านอื่นแล้วเลือกที่นั่งที่คิดว่าสามารถมองเห็นทางเข้าออกตึกได้ตลอดเวลา

 

พลันสายตาก็ไปสะดุดที่ร่างเล็กในชุดสูทสีเทาที่กำลังอารมณ์เสียหน้ามุ่ยเดินออกมาจากประตูตึกนั้น ดูก็รู้ว่าสาเหตุของความอารมณ์เสียนั้นมาจากชายผิวสีที่กำลังเร่งฝีเท้าตามให้ทันเมื่อก้าวพ้นประตู คนตัวเล็กหันไปพูดอะไรบางอย่างที่ดูท่าแล้วน่าจะเก็บอารมณ์เยอะอยู่เหมือนกันทำให้ชายผิวสีคนนั้นทำท่าเหมือนยอมแพ้แล้วเดินกลับเข้าไปที่ตัวตึก

 

สเตรนจ์รู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านั้นแบบแปลกประหลาดและเขาสนใจความรู้สึกคุ้นเคยนั้นแม้ว่าจะบางเบาเหลือเกินก็ตาม

 

ชายตัวเล็กคนนั้นข้ามถนนมายังร้านกาแฟที่เขานั่งอยู่ เปิดประตูเข้ามาเดินเข้าไปสั่งเมนูที่เคาน์เตอร์อย่างรวดเร็วเมื่อได้รับกาแฟมาไว้ในมือแล้วก็มานั่งที่บาร์เดี่ยวที่ห่างจากสเตรจน์ไปสามเก้าอี้

 

จอมเวทย์กระตุกยิ้มอย่างนึกสนุก ไหนๆก็ขอล้วงข้อมูลของสิ่งที่เรียกว่าอเวนเจอร์สักหน่อยแล้วกัน คิดได้ดังนั้นก็พาร่างตัวเองไปนั่งข้างๆ ยกแก้วในมือขึ้นจิบกาแฟโดยที่สายตายังคงมองไปที่วิวตึกข้างหน้า

 

“เป็นวันที่แย่น่าดูเลยนะครับ” เขาวางแก้วกาแฟแล้วพูด “งานข้างในคงยุ่งน่าดู”

 

สเตรนจ์ได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากข้างๆ

 

“ครับ ทำงานกับทีมปกป้องโลกที่นิสัยเหมือนเด็กมันก็เหนื่อยเป็นธรรมดา” เขาหันมามองคนตัวเล็กที่นั่งข้างๆ อีกฝ่ายยิ้มเล็กน้อยที่มากพอให้เห็นฟันที่เรียงตัวกันสวยในขณะที่ยังมองไปที่ตัวตึกที่เพิ่งเดินออกมา ถ้ามองจากมุมของสเตรจน์แล้วจะสามารถเห็นเขี้ยวแหลมๆของอีกฝ่ายได้

 

จู่ๆหัวใจของจอมเวทย์ที่นิ่งไปนานก็กระตุกขึ้นมาราวกับนึกออกว่าควรทำงาน

 

“ผมสตีเฟ่น” เขายื่นมือไปอีกฝ่ายมองมือเขาชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือออกมาจับเช่นกัน

 

“เอเวอร์เรต รอส ครับ” พูดจบก็ตบหน้าจอมเวทย์ให้หมุนเคว้งด้วยรอยยิ้มที่ขยับกว้างขึ้นมาอย่างเป็นมิตรจนเห็นเขี้ยวแหลมๆนั่นได้อย่างชัดเจน ตาโตๆบนหน้ากลมๆนั่นยีขึ้นเล็กน้อยตามความกว้างของรอยยิ้ม มือของคนตรงหน้าดูเล็กไปทันตาเมื่ออยู่กับมือของเขา

 

แล้วหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาจนเจ็บหน้าอกทันทีที่เขย่ามือนั้นเบาๆก่อนจะผละออกจากกัน

 

รู้สึกว่าสติอย่างจอมเวทย์เวลาที่คุยกับคนข้างๆมันจะไม่ค่อยคงที่เท่าไหร่ บ่อยครั้งที่เผลอเหม่อมองอีกฝ่ายภายใต้แว่นดำอยู่นานจนคนตัวเล็กประท้วงขึ้นมาเล็กน้อยเขาต้องรีบเบือนหน้าไปอีกทางแล้วแก้ตัวอย่างขอไปที

 

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่นั่งคุยกัน พวกเขาคุยกันถูกคอหลายเรื่องเลยล่ะไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่เรื่องภาพยนตร์ยันเรื่องของการแพทย์ สเตรนจ์พบว่าเวลาที่อีกฝ่ายกำลังเล่าเรื่องที่ตัวเองสนใจจะดูตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ และในขณะที่ฟังเขาพูดคนตัวเล็กก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีมากเช่นกัน จนกระทั่งที่เสียงโทรศัพท์ของรอสดังขึ้นนั่นแหละทำให้สเตรนจ์รู้ตัวทันทีว่าเวลาแห่งความสุขและผ่อนคลายอย่างคุ้นเคยมันได้จบลงแล้ว

 

“โทนี่ตามแล้ว ผมขอตัวก่อน” คนตัวเล็กลุกขึ้นยืดเต็มความสูงมองเขาที่นั่งอยู่ “ขอบคุณที่นั่งเป็นเพื่อนคุยในยามบ่ายนะครับ”

 

จอมเวทย์พยักหน้า

 

เอเวอร์เรต รอสกำลังเปิดประตูร้านออกไป

 

แต่เขาไวกว่าร่างที่กำลังจะก้าวพ้นประตู มือใหญ่คว้าเข้าที่ต้นแขนของคนตัวเล็ก เขาไม่อยากใช้คำว่าอย่างลืมตัวในขณะที่สมองนั่นแหละที่สั่งการให้เขาทำแบบนี้

 

สเตรนจ์มองคนตัวเล็กที่ส่งสายตาสงสัยเต็มทนอยู่ตรงหน้า พอยืนแบบนี้แล้วตัวเล็กกว่าที่เขาคิดไว้มากโข เขาปล่อยมือจากท่อนแขนของอีกฝ่ายแล้วกล่าวคำขอโทษเบาๆ ฝ่ายหลังสั่นหัวก่อนจะถามต่อว่ามีอะไรและเขาก็ตอบไปอย่างที่สมองสั่งให้ทำ

 

“เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า” เสียงของจอมเวทย์เบาหวิว เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลยให้ตายสิ!

 

อีกฝ่ายหัวเราะพรืดก่อนจะพยายามหยุดแล้วอมยิ้มน่ารัก “แค่มาที่ร้านนี้ทุกบ่ายก็เจอผมแล้ว”

 

แล้วหัวใจของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ถูกโจรกรรมไปเป็นที่เรียบร้อยโดยที่ผู้เสียหายนั่นเองที่สมยอมอย่างเต็มใจ

 

สเตรนจ์มองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่หายเข้าไปในตัวตึกอยู่นาน ความรู้สึกหลากหลายกำลังพลั่งพรูออกมาอยู่ในหัวราวกับเปิดก๊อก เขาท้าวศอกกับโต๊ะวางคางไว้บนฝ่ามือแล้วเคาะนิ้วกับแก้มตัวเองพร้อมกันกับที่ในหัววางแพลนเงียบๆว่าทุกบ่ายจะมาซื้อกาแฟที่ร้านนี้แม้จะอยู่ไกลจากที่พักมากโขก็ตามที แต่ไม่เป็นไรนี่ เขามีแหวนเวทย์ที่สามารถแหวกประตูมิติกลางอากาศ แค่มาซื้อกาแฟแถวนี้แล้วนั่งนานๆสักหน่อยพอมีเหตุด่วนก็เปิดประตูมิติผ่านไป เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้กัน

 

เอเวอร์เรต รอส

 

เป็นชื่อที่ดีเหมือนกัน อืม

 

“เดี๋ยวนะ” เขาพึมพำออกมาอย่างสะกิดใจในบางอย่างเมื่อนึกถึงชื่อของคนตัวเล็กที่ทำงานอยู่ในตึกที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉับพลันสมองส่วนความจำที่ถูกปิดไว้ชั่วขณะด้วยเสียงหัวใจเต้นแรงของตัวเองตอนคุยกับรอสก็เปิดออกแล้วข้อมูลชุดหนึ่งก็ไหลออกมา

 

สเตรจน์ทึงผมตัวเอง ค้างมือไว้อย่างนั้น

 

เขาลืมไปได้ยังไงกัน

 

คนที่ส่งจดหมายมาให้เขาชื่อ เอเวอร์เรต รอส

 

 

..

 

.

 

 

“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้” จู่ๆจอมเวทย์ตรงหน้าก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คนตัวเล็กที่นั่งจดข้อมูลอยู่เงียบๆสะดุ้งตัวเล็กน้อยอย่างตกใจ

 

“ครับ?” รอสส่งเสียงกลับไปอีกฝ่ายบอกปัดว่าไม่มีอะไร เขาทำได้เพียงขมวดคิ้ว ตอนนี้อยู่ที่ไหนเขาไม่อาจจะทราบได้ เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มีติดตัวเลยเพราะต้องเข้าประชุมแล้วจู่ๆก็โดนลากออกมา(ทั้งเก้าอี้ประชุม) ตอนนี้รอสไม่สามารถติดต่อใครได้เลย ถ้าเกิดเขาโดนจอมเวทย์ตรงหน้าทำร้ายขึ้นมาจะมีใครรู้หรือเปล่านะ

 

ทว่าเขากลับรู้สึกว่าอีกคนจะไม่ทำอะไรเขาแน่นอน เพราะความรู้สึกอันคุ้นเคยบางอย่างกับจอมเวทย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ อย่างกับว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน

 

“ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก” เสียงของจอมเวทย์ขัดขึ้นมาเป็นตัวยืนยันความคิด รอสยิ่งขมวดคิ้วหนัก

 

“คุณสามารถอ่านใจได้?”

 

“ไม่หรอก…หน้าคุณดูออกง่ายจะตายไป” รอสที่กำลังเขียนคำว่าอ่านใจได้กำลังจะจบจำต้องขีดฆ่าคำนั้นทิ้งเสีย

 

“ชามั้ย?” รอสตอบปฏิเสธแต่ทว่าก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของชาชั้นดีที่วางอยู่ที่โต๊ะตรงหน้าเมื่อไหร่ไม่รู้ พอเงยหน้าขึ้นทิวทัศน์รอบกายก็เปลี่ยนไปเป็นว่าพวกเขากำลังนั่งอยู่ในสวนเล็กๆที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีกับเสียงนกที่ร้องขับขานเคล้ามากับลมเย็นที่พัดมาเอื่อยๆแทนห้องอึมครึมที่เต็มไปด้วยหนังสือในตอนแรก

 

เอเวอร์เรต รอสตาค้าง ก่อนจะเขียนเพิ่มไปอีกข้อว่า Teleporter

 

รอสได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของจอมเวทย์ เขาไม่ได้กลิ่นชาแล้วแต่กลับได้กลิ่นกาแฟรสที่เขาดื่มเป็นประจำทุกบ่ายแทน แก้วมัคสีขาวบรรจุกาแฟแทนตำแหน่งของถ้วยชาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เขาเขียนเพิ่มลงไปสั้นๆแต่สามารถเป็นข้อสรุปของข้อความทั้งหมดที่ได้เขียนลงไปก่อนหน้านี้ว่า Wizard

 

จอมเวทย์กระตุกยิ้มก่อนจะโบกมือแล้วพวกเขาก็เปลี่ยนมานั่งที่ร้านกาแฟหน้าตึกอเวนเจอร์ รอสทึกทักเอาในใจว่าอีกฝ่ายคงจะมาส่งแล้ว เพราะข้อมูลที่เขาต้องการและจำเป็นก็ได้มาครบทุกอย่างแล้ว ก่อนจะหันไปมองสเตรนจ์ จู่ๆภาพของบุคคลปริศนาที่เขาเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนก็โผล่เข้ามาในหัวแล้วซ้อนทับกับจอมเวทย์

 

เหมือนกันมาก รอสคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป ฉับพลันเสียงทุ้มๆของสเตรนจ์ก็ดังขึ้น

 

“ผมทำบางอย่างหาย” แก้วที่บรรจุกาแฟที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ถูกยกขึ้นดื่มโดยจอมเวทย์ ภาพที่ซ้อนทับกันอยู่ในสายตาของรอสกับคนตรงหน้าเหมือนกันแบบไม่ผิดแม้แต่องศาเดียว จะต่างกันก็ที่คนแปลกหน้าคนนั้นเป็นแค่คนธรรมดาที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่ที่ได้คุยกัน

 

เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรที่จะตกหลุมรักคนแปลกหน้าทั้งที่ยังรู้จักกันไม่ถึงครึ่งวัน แต่เพราะความรู้สึกคุ้นเคยในบางอย่างมันทำให้เขาสนใจในตัวอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

ความรู้สึกคุ้นเคยกับสเตรนจ์ที่รอสรู้สึกเหมือนกันกับชายแปลกหน้าคนนั้นจนเผลอใจเต้นแรงเมื่อมองจากมุมนี้

 

หรือว่า… เขาหยุดความคิดทั้งหมดเพราะต้องการยืนยันให้แน่ใจเสียก่อนจะลงความเห็นของตนไป

 

“แล้วคุณหาเจอหรือยังล่ะ?” รอสถามกลับไป หัวใจเต้นแรงอย่างตื่นเต้นและรอคอยคำตอบ

 

สเตรนจ์หันกลับมา แล้วภาพซ้อนทับกับชายแปลกหน้ามันก็ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

“ผมคิดว่าผมเจอแล้ว” จอมเวทย์ยกยิ้มมุมปาก “มันอยู่ที่คุณ…เอเจนท์เอเวอร์เรต รอส” เจ้าของชื่อกระพริบตาปริบ ความรู้สึกคุ้นเคยกับมือที่ยื่นมาและรอยยิ้มนั้นทำให้เขาแน่ใจในสิ่งที่กำลังตีกันอยู่ในหัว รอสสบตากับจอมเวทย์ก่อนจะถามออกไปเสียงเบาหวิว

 

“คุณคือเขา” คำตอบที่เป็นเพียงการพยักหน้าช้าๆก็ทำให้เอเวอร์เรต รอสผุดยิ้มกว้างขึ้นมา

 

“ผมสตีเฟ่น สเตรนจ์ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับ”

 

แล้วมือของพวกเขาก็สัมผัสกันพร้อมกับความรู้สึกอันหอมหวานที่อบอวลไปทั่ว

 

 

 

 

 

 

 

แซม วิลสันที่เพิ่งเปิดประตูร้านเข้ามาเห็นรังสีที่อบอวลไปทั่วร้านมาจากคนทั้งสองก็เบ้ปากแล้วกรอกตาแทบจะไปข้างหลังก่อนจะพูดขึ้นอย่างหมั่นไส้และดังพอที่จะให้ต้นตอที่แผ่รังสีชวนอ้วกนั่นได้ยิน

 

“เหม็นความรักโว้ยยย!”

 

 

 

 

FIN

Leave a comment