Perfect Places
[ CarolNat ]
-1-
เช้าตรู่วันศุกร์ในฤดูใบไม้ผลิที่อุณหภูมิลงลดจากปกติเล็กน้อยไม่ได้ทำให้นาตาชา โรมานอฟฟ์ตื่นสายอย่างที่เคยเป็นเหมือนวันอื่นๆที่ผ่านมา สาเหตุนั้นก็มีอยู่ไม่กี่ข้อใหญ่ๆที่คุณพ่อและคุณแม่สามารถรับรู้ได้นั่นคือ หนึ่ง อีกสองวันข้างหน้าจะเป็นวันเกิดครบรอบ 17 ปีของเธอ และสอง พวกเรากำลังจะไปฉลองนอกสถานที่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนซึ่งที่นั่นคือบ้านพักตากอากาศของตระกูลแดนเวอร์ส-ตระกูลเก่าแก่ที่เป็นคู่ค้าทางธุรกิจมาเนิ่นนานก่อนที่เธอจะเกิดเสียอีก
แต่ทว่านั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่ทำให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาแต่งตัวในเช้าตรู่แบบนี้
มีอยู่หนึ่งเหตุผลที่พ่อแม่ของเธอยังไม่รู้
เธอเอียงคอเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองสามารถถักเปียเดี่ยวไว้ทางด้านซ้ายได้สะดวกขึ้น แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นหีบโลหะสีครีมที่มีลายดอกกุหลาบวาดมือประดับอยู่ข้างบนที่วางอยู่บนโต๊ะลิ้นชักข้างโต๊ะเครื่องแป้ง มันมีรูกุญแจเล็กๆที่เธอเองก็ลืมไปแล้วว่าเก็บแม่กุญแจไว้ที่ไหน ริมฝีปากค่อยๆยกยิ้มอ่อนโยนเมื่อนึกถึงเจ้าของจดหมายที่มีอยู่เกือบจะเต็มความจุของในหีบนั่น
จดหมายของแดนเวอร์ส
แครอล
ป่านนี้จะโตขนาดไหนแล้วนะ เธอคิดเงียบๆขณะเช็คความเรียบร้อยของเปียเดี่ยวและเสื้อผ้าจากภาพสะท้อนของกระจก แครอลอายุมากกว่าเธอแค่สามปีและสามปีที่ไม่ได้เจอกันทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าอีกคนจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ ลายมือในจดหมายของอีกคนยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ลายมือที่ติดตวัดที่ปลายอักษรนิดหน่อยแต่เป็นระเบียบและอ่านง่าย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่เธอกำลังจินตนาการภาพของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานอยู่ในหัว ตามด้วยเสียงของคุณแม่ที่บอกว่าได้เวลาออกเดินทางแล้ว เธอขานรับ แล้วหยิบกระเป๋าที่เตรียมเสื้อผ้าสำหรับสามวันข้างหน้าแล้วออกจากห้องตามเสียงของคุณแม่ไป
.
.
.
ทิวทัศน์ข้างทางกลายเป็นภาพที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเธอตื่นขึ้นมาจากการเดินทางอันแสนยาวนาน คุณพ่อบอกว่าพวกเราอาจจะถึงบ้านพักตากอากาศของแดนเวอร์สในช่วงบ่ายๆไม่ก็ช่วงเย็น คุณพ่อไม่ชอบขับรถช่วงกลางคืนเพราะมีปัญหาด้านสายตา และในครั้งนี้ไม่มีสารถีคอยรับส่งอย่างวันทำงานวันธรรมดา การถึงที่หมายก่อนพระอาทิตย์จะตกดินจึงเป็นเรื่องที่ควรทำ
หญิงสาวหาวน้อยๆ เธอมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกประตูข้าง ผมเปียหลุดออกเล็กน้อย แต่มันทำให้เธอไม่ค่อยพอใจ มือสวยๆแกะโบว์สีขาวออกแล้วถักใหม่เงียบๆ ได้ยินเสียงพ่อกับแม่พูดคุยกันเกี่ยวกับงานอะไรสักอย่างที่เธอไม่รู้จักจากเบาะข้างหน้าโดยมีเสียงเพลงจากวิทยุดังแทรกเป็นระยะ นาตาชาแอบกลอกตาเล็กๆที่พอจะไม่ถูกทั้งสองเห็นแล้วตำหนิเธอ ขนาดมาเที่ยวนอกเมืองยังจะคุยกันเรื่องงาน บ้าชะมัดเลยพวกผู้ใหญ่! เธอคิดออกมาดังๆ
“จะถึงแล้วนะ” นั่นคือเสียงของคุณพ่อ เหมือนเป็นสัญญาณให้เธอเตรียมตัว
นาตาชานั่งตัวตรง รู้สึกจะหายใจแรงกว่าปกติเหมือนกับจังหวะหัวใจในอกตอนนี้ เธอยกกระเป๋าใบเล็กไว้บนตัก ปัดปอยผมที่ร่วงลงมาทางด้านขวาขึ้นทัดหูอย่างประหม่า คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างกังวลว่าชุดของเธอจะอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมเพราะในตอนนี้ไม่มีกระจกเต็มตัวที่สามารถให้เธอตรวจสอบความเรียบร้อยของชุดเดรสได้อย่างในทุก ๆวัน
เมื่อนึกได้ว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้าก็จะได้เจอหน้าคนที่คุยกันทางจดหมายตลอดสามปีผ่านมา แล้วหัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นความตื่นเต้นแต่ทว่าก็แฝงความกลัวที่เธอพยายมไม่นึกถึงมันเอาไว้ลึกๆด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวเราจะได้เจอแครอลแล้วนะ” คุณแม่เว้นจังหวะคิด “กี่ปีนะแนท” แล้วหันมาหาเธอที่นั่งอยู่เบาะหลัง
ตากลมเบิกโพลงกับคำถามที่ยิงขึ้นมาอย่างกะทันหันของคุณแม่ ก่อนจะตอบอย่างตะกุกตะกัก
“ส..สามปีค่ะ” รู้สึกตกใจกับโทนเสียงแปลกๆของตัวเอง คุณแม่ยิ้มให้เธออย่างเอ็นดูแล้วเอื้อมมือมาจับมือของเธอที่กุมกันไว้แน่นบนกระเป๋าหน้าตัก
“ไม่เป็นไร” หล่อนบีบมือของเธอให้คลายออกจากกัน “พี่แครอลไม่เปลี่ยนไปหรอกนะจ๊ะ”
ใช่ แครอลไม่เปลี่ยนไปหรอก ขนาดลายมือยังเหมือนเดิมเลย นาตาชาเชื่อเช่นนั้น ไหล่ที่เคยตึงจากความกังวลเมื่อสักครู่ค่อยๆลู่ลงอย่างผ่อนคลาย เธอยิ้มตอบกลับเป็นคำขอบคุณให้แก่คุณแม่
.
.
.
กระเป๋าสัมภาระถูกยกเข้าตัวบ้านโดยคนสวนที่ประจำอยู่ที่นี่ พวกเขาเป็นคนเดิมับเมื่อสามปีก่อน เธอกล่าวทักทายอย่างคุ้นเคย สักพักคุณชายแดนเวอร์สก็ออกมาจากตัวบ้าน คุณชายแดนเวอร์สดูแก่ขึ้นกว่าคุณพ่อนิดหน่อย เขาเดินมาสวมกอดคุณพ่อที่ก็เดินเข้าหาอีกคนอย่างคิดถึงเช่นกันก่อนที่จะผละออกแล้วกอดทักทายคุณแม่ คุณชายแดนเวอร์สหันมาทักทายหญิงสาว
“โตขึ้นเยอะเลยนะ” กอดจะสวมกอดเธออย่างใจดี “หืม สูงขึ้นจากสามปีที่แล้วเยอะเลย”
“ขอบคุณค่ะ” คุณชายแดนเวอร์สฉีกยิ้มตาหยีให้เธอแล้วหันผายมือให้พวกเราเข้าไปในตัวบ้าน
ถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเป็นบ้านพักตากอากาศแต่ความจริงแล้วควรจะเรียกมันว่าคฤหาสน์ตากอากาศเสียมากกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะโตขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันใหญ่กว่าคำว่าบ้านตากอากาศทั่วไปอยู่ดี มีห้องหับมากมายให้สำรวจอยู่ที่ชั้นบนเมื่อขึ้นบันไดกลางห้องโถงไป เธอเองก็จำไม่ได้แล้วว่าห้องแต่ละห้องเป็นห้องของใครบ้าง
จำได้แค่เพียงว่าห้องที่อยู่ฝั่งขวาสุดทางเดิมเป็นห้องแดนเวอร์ส หมายถึงแครอล เพราะสมัยเด็กๆคุณพ่อและคุณแม่ของทั้งสองครอบครัวมักจะพาทั้งสองมาฝากไว้ให้แม่นมของแครอลดูแลเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายวัน
แต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือแม่นมเพิ่งเสียไปเมื่อสามปีที่แล้ว แล้ววันสุดท้ายที่เธอได้เจอแครอลก็คือวันที่ฝังศพแม่นม เรื่องเศร้าเกินขึ้นทีเดียวสองเรื่องภายเดือนเดียว
จะว่าไปแครอลอยู่ข้างบนหรือเปล่านะ
นาตาชาเดินออกมาจากห้องรับแขกที่อยู่ทางด้านซ้ายของบันได ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เจอกันหลายปีได้เปิดบทสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ
ค่อยๆก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นเพื่อซึมซับความรู้สึกในวัยเด็ก เนื้อไม้ของราวบันไดสีซีดลงไปเยอะจากในความทรงจำของเธอ เธอเดินผ่านประตูห้องนับสิบ จนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าห้องที่เธอคุ้นเคยมากที่สุด จะอยู่ในห้องหรือเปล่านะ
มือสั่นเล็กน้อยตอนเอื้อมมือไปเคาะ
และไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
แต่ก็รู้สึกขอบคุณที่แครอลไม่อยู่ตอนนี้ เพราะเธอเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าพอเจอหน้ากันจะทักทายไปว่าอะไรดี อันที่จริงก็ยังหาเหตุผลจริงๆไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงเลือกปลีกตัวออกมาแล้วพาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงนี้
เธอตัดสินใจหมุนตัวเพื่อย้อนกลับไปทางที่เดินมา แล้วก็ต้องตกใจจนร้องเสียงหลงเมื่อพบว่ามีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
แครอลยืนอยู่ตรงนั้น หัวใจของนาตาชาเต้นแรงขึ้นเมื่อมองใบหน้าของคนที่ไม่ได้เจอกันมาตลอดสามปี
“ไง”
-TBC-