ฟิคกาว · MHA Fiction · My Fiction

[Kacchako] An angel faces.

An angel faces.

PG

uraraka ochako x bakuko tatsuki

เขาไม่เคยเชื่อว่านางฟ้ามีจริง

จนกระทั่งที่ร่างเล็กๆ นั่นลอยขึ้น เวลาพอดีกับที่พระอาทิตยคล้อยลงหลังพื้นดิน แสงอาทิตย์ย้อมสีท้องฟ้าครามให้กลายเป็นสีส้มหลากเฉดหยอกเย้ากับก้อนเมฆหน้าตาตลก กลีบซากุระฟุ้งกระจายในอากาศเมื่อลมยามเย็นพัดโชยมา เขาจับมือของร่างเล็กนั้นไว้แน่นอย่างกลัวว่าถ้าเผลอปล่อยมือ ถ้าจับมือเล็กๆ นี้ไม่แน่นพอ ร่างนั้นจะบินกลับไปยังสรวงสวรรค์ที่ตนจากมา

เขาไม่เคยเชื่อว่านางฟ้ามีจริง

จนกระทั่งวันนี้

.

.

.

“เอาล่ะ” ประตูห้องเรียนถูกปิดลงพร้อมกับเจ้าของเสียงที่กำลังก้าวเข้าไปที่หน้าชั้นเรียน อาจารย์ไอซาว่าวางแฟ้มเล่มที่ไม่หนาไม่บางเกินไปไว้ตรงตำแหน่งที่ควรจะเป็นบนโต๊ะสำหรับอาจารย์ เขาเปิดมัน กวาดสายตา แล้วปิดไว้แบบเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้านักเรียนทุกคนในคลาส 1-A ที่กำลังมองมาที่เขาอย่างจดจ่อ

“วันนี้เราจะฝึกพัฒนาอัตลักษณ์กัน”

เสียงโห่ร้องอย่างดีใจของเด็กๆ เพราะนั่นเป็นคาบที่พวกเขาชอบที่สุด ใช่แล้ว เพราะมันเป็นคาบเรียนที่ได้ใช้พละกำลังยังไงล่ะ

“ให้มันได้อย่างนี้สิ!” คิริชิม่าดูเหมือนจะเตรียมพร้อมที่สุด ถึงขั้นเปลี่ยนแขนตัวเองเป็นของแข็งตามอัตลักษณ์

“พวกเราไปเปลี่ยนชุดกันเถอะ-”

“เดี๋ยวก่อน” อาจารย์ไอซาว่าขัดขึ้นก่อนที่ทุกคนจะลุกจากที่ เจ้าพวกเด็กๆ ชะงักกึก บางคนที่ลุกขึ้นแล้วกำลังยืนค้างด้วยท่าทีงงงวย

“วันนี้เป็นการฝึกอัตลักษณ์ที่ห้ามใช้อัตลักษณ์” คนเป็นครูหาวน้อยๆ “เดี๋ยวฉันจะเป็นคนจับคู่ให้เอง เอาล่ะคู่แรก”

การจับคู่โดยอาจารย์ไอซาว่ายังคงดำเนินต่อ เขาจับคู่โดยใช้การดูว่าสองอัตลักษณ์จากคนสองคนมีจุดร่วมอะไรกัน ปากขานชื่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับให้คำแนะนำที่แอบเป็นคำสั่งไปพลาง

“บาคุโกคู่กับอุรารากะ” เว้นวรรค หาว แล้วแนะนำ “อัตลักษณ์พวกเธอทั้งสองคนใช้มือเป็นหลักใช่มั้ย” เขามองบาคุโกที่กำลังแยกเขี้ยว ไอ้เด็กคนนี้ต้องฝึกเรื่องการควบคุมอารมณ์อีกเยอะ “ไปจับมือกันซะ แล้วก็อย่าใช้อัตลักษณ์ใส่อีกฝ่าย”

“ห๊า!?” ฝ่ามือเตรียมประทุ สายตาของคนเป็นอาจารย์จ้อง แล้วเจ้าเด็กหัวร้อนก็ใช้อัตลักษณ์ไม่ได้ชั่วคราว

“หมดแล้วสินะ” มือหยิบแฟ้มแนบลำตัว “พรุ่งนี้เขียนรายงานมาส่งฉันที่ห้องพักอาจารย์ไม่เกินเที่ยง เลิกคลาสได้”

“ครับ! /ค่ะ”

.

.

.

อาจารย์ออกจากห้องเรียนไปแล้ว หลายคนเริ่มจับคู่กันและทำตามคำแนะนำที่ได้รับมา ก่อนจะพากันออกไปที่โรงอาหาร เสียงจอแจในทีแรกเริ่มหายไป แล้วไม่นานทั้งห้องก็เหลือแค่สองคนภายในห้องเรียนที่เงียบสนิท

บาคุโกยังคงหัวเสีย เขาไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการฝึกแบบนี้ ทำไมต้องฝึกไม่ใช้อัตลักษณ์ ถ้างั้นจะมีอัตลักษณ์เอาไว้ทำไม แล้วเขาจะได้อะไรจากการฝึกแบบนี้ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

“บาคุโกคุง”

“อะไร!” ความคิดที่ฟุ้งลอยกลางอากาศนั่นหายไปเพราะเสียงของคนที่ยังเหลืออยู่ เขาไม่ได้รำคาญเสียงนั้นจะบอกว่าเป็นแค่เพียงเสียงเดียวที่เขาไม่รู้สึกรำคาญน่าจะถูกกว่า แต่ไอ้นิสัยเสียของเขาเองที่ทำให้มันเหมือนกับว่าจะกินหัวอุรารากะเข้าไป

“ขอโทษทีนะ” อุรารากะหน้าเสียเล็กน้อย เธอเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากคู่กับเธอ ก่อนจะเสนอทางออกให้เด็กหนุ่มฟัง “จริงๆ เราไม่ต้องจับมือกันก็ได้นะ เดี๋ยวเรื่องรายงานฉันจัดการเองได้ สบายใจได้เลย”

บาคุโกะมองใบหน้าของอุรารากะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาจิ๊ปากอย่างรำคาญ เขาไม่ชอบรอยยิ้มแหยๆ กับใบหน้าแบบนั้นเลยให้ตายสิ

“มานี่” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปจับข้อมือคนที่ยืนเกาหัวข้างๆ อีกฝ่ายร้องเสียงหลงเพราะตกใจ คงไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้

.

.

.

“อ๊ะ บาคุโกคุง!” อุรารากะโดนลากออกไปที่โรงอาหาร เวลานี้นักเรียนทุกคลาสต่างต่อแถวซื้ออาหารกันเนืองแน่น เพราะไอ้การที่ทุกคนมัวแต่จดจ่อกับอาหารของตัวเองนั่นแหละทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าอันดับหนึ่งของUAกำลังจูงมือผู้หญิงออกมาที่โรงอาหาร ไม่งั้นคงได้เกิดท็อปปิคดังไปทั่วโรงเรียนแน่ๆ

บาคุโกยืนรออาหารโดยที่ยังคงจับมืออุรารากะเอาไว้ เขาเลือกร้านที่อุรารากะเป็นคนเลือกเพราะรำคาญที่จะต้องไปเดินเลือกหาเอง และรำคาญถ้าต้องปล่อยมืออุรารากะเพื่อเดินหาร้านอื่น และรำคาญที่จะต้องเดินหาอีกฝ่ายเพื่อให้กลับมาจับมืออีกครั้ง น่ารำคาญจริงๆ

มีคนตัวใหญ่เบียดเข้ามาจากแถวด้านซ้าย เขาจึงถูกเบียดให้ไหล่ไปชิดกับคนตัวเล็กที่อยู่ทางด้านขวา อุรารากะกล่าวขอโทษพัลวัน เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญหล่อนสักหน่อย จะขอโทษทำไม

“ขอโทษทีนะ”

“จะขอโทษทำไม”

“แหะๆ” อุรารากะยิ้มกว้างหลังคำขอโทษ บาคุโกมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งงัน จู่ๆ ข้างในท้องมันก็โหวงเหวง หน้าอกสั่นแบบแปลกๆ

ทำไมเหมือนเท้ามันลอยๆ วะ

“เฮ้ย ยัยหน้ากลม!” เขาเค้นเสียง พร้อมกับก้มลงไปนิดหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิน  “จะใช้อัตลักษณ์ทำไมห๊ะ!?”

อุรารากะงุนงง เธอก้มมองมือที่ถูกจับไว้ แล้วมองคนตัวสูงข้างๆ บาคุโกก็ไม่ได้ลอยไปไหน เท้ายังปกติดีอยู่บนพื้นโรงอาหารที่เงาวับ แถมมือของเราทั้งคู่มันก็เหมือนจะเกี่ยวกันไว้หลวมๆ ซะมากกว่า ฉับพลันภาพของอาจารย์ไอซาว่าก็ผุดขึ้นมาในหัว จุดประสงค์ของการฝึกวันนี้ก็คือการห้ามใช้อัตลักษณ์ใส่อีกฝ่าย หรือเธอดันเผลอใช้อัตลักษณ์โดยที่ไม่รู้ตัวกันนะ

“ขอโทษทีนะ ฉันจะระวังให้มากกว่านี้”

“เออ”

“แต่มือบาคุโกคุงก็…” เธออ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีมั้ย แต่ว่านี่คือการฝึกห้ามใช้อัตลักษณ์ เธอต้องพูดแล้วล่ะโอชาโกะ!

“มะ มือบาคุโกคุงเองก็ชุ่มเหงื่อจังเลยนะ” แต่ก็ตามด้วยรอยยิ้มซื่อ จริงๆ เธอรู้สึกมาได้สักพักแล้วแหละว่ามือของบาคุโกชุ่มเหงื่อมาก ที่ไม่กล้าพูดตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ตัวคงจะต้องจุดระเบิดที่ฝ่ามือ เหมือนกันกับถ้าเธอรู้ตัวเธอก็จะใช้อัตลักษณ์เบาหวิวนั่นแหละ

“ห๊าา!” นั่นไง เริ่มแล้ว ใบหน้าฉุนเฉียว ท่าทางเกรี้ยวกราดมันเริ่มเรียกความสนใจของคนโดยรอบ อุรารากะรีบขอโทษ แล้วพยายามห้ามไม่ให้บาคุโกอารมณ์เสียยิ่งกว่านี้ เธอหลับตาปี๋เตรียมรับแรงปะทะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่บาคุโกปล่อยมือจากเธอ แล้วเช็ดมือตัวเองกับเสื้อนักเรียนอย่างหงุดหงิดแทนการอาละวาด ก่อนจะยื่นมือกลับมาจับมือเล็กๆ ของอุรารากะอีกครั้ง

คิ้วบนใบหน้ากลมๆ ขมวดมุ่ยในทีแรก แต่ก็ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าบาคุโกไม่ได้อาละวาดอย่างที่จินตนาการไว้

กลับกันถ้าอุรารากะสังเกตดีๆ จะเห็นว่าใบหูของคนตัวสูงกว่าแอบขึ้นสีนิดๆ

บาคุโกรู้สึกว่าในตัวมันเบาหวิว เท้ามันเริ่มลอยอีกแล้ว

หยุดใช้อัตลักษณ์บ้าๆ นั่นสักทีเถอะยัยหน้ากลม!

.

.

.

คลาสเรียนตอนบ่ายดำเนินต่อไปจนถึงช่วงเย็นเลิกเรียน พวกเพื่อนๆ พากันแยกไปเป็นคู่ๆ อีกครั้งเหมือนเมื่อตอนพักเที่ยง ให้เดาว่าน่าจะยังคงฝึกต่อกันอีกสักหน่อยก่อนจะค่อยแยกย้ายกันกลับหอพัก เสียงคามินาริชวนคู่ตัวเองไปเกมเซนเตอร์ก่อนจะตามด้วยเสียงขอไปด้วยของคิริชิม่า ฝ่ายหลังหันมาชวนบาคุโกที่กำลังเก็บของอยู่ที่โต๊ะตัวเอง

“ไปมั้ยพวก”

บาคุโกส่ายหัวเป็นคำตอบ คิริชิม่าไม่ได้ติดใจอะไรก็หันไปชวนคนอื่นต่อ แล้วเดอะแก๊งค์ห้อง1-A ก็พากันยกโขยงไปเกมเซอนเตอร์กันกว่าครึ่งห้อง

บาคุโกกำลังรอ รอให้ทั้งห้องออกไปหมด เพราะเขารู้ว่าคู่ฝึกของตัวเองมักจะเก็บของเสร็จคนสุดท้ายเสมอ ถ้าถามว่าเขารู้ได้ไง ก็ถ้าหัดสังเกตในทุกๆ วันหน่อยก็จะรู้เองนั่นแหละ

“อ้าว บาคุโกคุงยังไม่กลับเหรอ?” อุรารากะที่เก็บของใกล้จะเสร็จถามบาคุโกที่เดินเข้ามาหาที่โต๊ะ เธอเงยหน้าน้อยๆ มองใบหน้าที่ไม่ได้แสดงอะไรออกมาของอีกฝ่าย

“ไม่ไปกับพวกผู้หญิงเหรอยัยแก้ม” ถามเสียงเรียบเมื่อเห็นอุรารากะเก็บของเสร็จ คนตัวเล็กกว่าสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่อย่างคล่องแคล่ว แอบนึกเอะใจนิดหน่อยกับคำว่ายัยแก้มแต่ก็ปล่อยเบลอไป ก่อนจะตอบคำถาม

“ไม่จ๊ะ” เธอก้าวออกนอกห้องเรียนในขณะที่บาคุโกก้าวตามมาเดินอยู่ข้างๆ “พวกซึยุจังแยกไปฝึกกันต่อที่ยิม ส่วนฉันตั้งใจจะไปซื้อของใช้หน่อยน่ะ”

“เหรอ” คนตัวสูงกว่ามองไปข้างหน้า โถงทางเดินในตัวอาคารตอนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนจากคลาสอื่นที่เลิกเรียนเวลาเดียวกัน บาคุโกมองกลุ่มเด็กหนุ่มห้องอื่นที่จับกลุ่มกันอยู่ริมหน้าต่างที่ไม่ได้ไกลจากพวกเรานัก เขาเห็นว่าหนึ่งในนั้นมองมาทางอุรารากะแล้วทำท่าเหมือนกำลังจะเดินเข้ามา

มือของทั้งสองเฉียดกันไปมา ไหล่ของอุรารากะชนเข้ากับหน้าอกของบาคุโกบ่อยครั้งเพราะต้องคอยหลบกลุ่มคนที่ยืนคุยกัน ทั้งคนวิ่งและเดินไปมา สายตาก็มองไปเห็นผู้ชายที่แอบมองคนข้างตัวเขาเมื่อกี้กำลังเดินใกล้เข้ามา แถมมือที่ปัดกันอยู่ข้างล่างอย่างไม่ตั้งใจนั่นก็ยิ่งเร้าหรือให้เขาหงุดหงิด

“ชิ”

น่ารำคาญชะมัด แล้วก็คว้ามืออุรารากะมากุมไว้

เจ้าของมือสะดุ้ง ส่งเสียงน่ารักเบาหวิว แล้วมองมือที่ถูกกุมไว้ ก่อนจะมองเงยมองคนข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ

“ระ เรายังฝึกไม่จบสักหน่อยยัยหน้ากลม” เสียงตะกุกตะกักของบาคุโกพลอยทำให้คนตัวเล็กเลิ่กลั่กไปด้วย อุรารากะที่ไม่สามารถตอบอะไรไปได้ก็ได้แต่เม้มปากก้มหน้างุด ทำให้ไม่ทันได้เห็นว่าคนตัวสูงส่งสายตาเย็นเฉียบแบบผู้เหนือกว่าให้แก่เด็กหนุ่มต่างห้องที่กำลังเดินมาทางเจ้าตัว

เด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาร้อง ‘โอ้’ ก่อนจะเห็นว่ามือของสาวที่ตนจะเข้ามาทำความรู้จักถูกกุมมือไว้โดยคนตัวโตข้างกัน แปลกชะมัดเลยเพราะเท่าที่เขารู้มานั้น อุรารากะซังยังไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันอะไรกัน รังสีอำมหิตแสดงความหึงหวงอย่างชัดเจนทำให้เด็กหนุ่มต่างห้องถอยผละออกไปอย่างยอมแพ้

พอเดินพ้นกลุ่มคนลงมาจากตัวอาคารเรียน อาการเดิมมันก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง

ตัวเบาหวิว เท้าเหมือนจะเริ่มลอยอีกแล้ว

“นี่! จะใช้อัตลักษณ์ทุกครั้งที่จับมือเลยเหรอยัยหน้ากลม”

อุรารากะขมวดคิ้ว นี่เธอใช้อัตลักษณ์โดยที่ไม่รู้ตัวอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ

“แหะๆ ขอโทษทีนะบาคุโกคุง”

.

.

.

มือของบาคุโกไม่ชุ่มเหงื่อแล้ว เธอนึกยินดีกับคนตัวสูงด้วยที่ไม่ใช้อัตลักษณ์กับเธอได้สำเร็จ แต่ก็จะมีแต่เธอนี่แหละที่ยังไม่สามารถทำได้ เพราะบาคุโกคอยบอกอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เดินเข้าย่านการค้าจนกระทั่งซื้อของเสร็จว่าเธอใช้อัตลักษณ์อีกแล้วนะ ส่วนเธอก็หัวเราะแห้งแล้วตอบขอโทษกลับไปทุกครั้ง

มือข้างที่ว่างจากการจับมือกำลังทำหน้าที่ถือไม้เสียบดังโงะสามสี เธองับเข้าปาก เคี้ยวแก้มตุ่ยแล้วส่งเสียงที่บ่งบอกว่าอร่อยมากๆ ออกมา

คนตัวสูงกว่าเห็นการกระทำทั้งหมด แล้วเบนหน้าไปอีกทาง แต่ได้แค่แป๊ปเดียวก็รู้สึกสนใจแก้มตุ่ยๆ นั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามาทางอุรารากะอย่างวางมาด แล้วในหน้าอกมันก็กระตุกวูบขึ้นมาดื้อๆ

ถ้าไม่ติดว่ามือข้างที่ว่างจากการจับมือกำลังถือของให้อุรารากะอยู่ เขาคงยื่นมือออกไปบีบแก้มของยัยหน้ากลมเพราะหมั่นเขี้ยวแล้ว

ให้ตายสิ นี่เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย

“แบบว่านะบาคุโกคุง” เสียงเรียกของคนตัวเล็กข้างๆ ดึงสติของเขาที่กำลังฟุ้งซ่านให้กลับเข้าร่องรอย เขาถามกลับว่ามีอะไรด้วยโทนเสียงประหลาดชนิดที่ว่าถ้าคิริชิม่าได้ยินต้องคงล้อไปยันเรียนจบแน่ๆ อุรารากะหยุดเดิน เขาก็หยุดเดินด้วย

“วันนี้ขอบคุณมากๆ เลยนะ” รอยยิ้มเจิดจ้าที่สว่างแข่งกันกับดวงอาทิตย์ถูกแต่งแต้มบนใบหน้าน่ารักของคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างอุรารากะ บาคุโกเสียหลักเซไปข้างหลังเล็กน้อยแต่ก็น้อยมากๆ ถ้าไม่ทันสังเกตให้ดี

“เรื่องอะไรล่ะ”

“จะว่ายังไงดีล่ะ” อุรารากะเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง และบาคุโกก็เป็นผู้ตามที่ดี “คิดมาตลอดว่าบาคุโกคุงเป็นคนน่ากลัวตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน” ดังโงะลูกสุดท้ายถูกเคี้ยวแก้มตุ่ย บาคุโกเหล่มองแก้มสีชมพูอ่อนๆ นั่นพร้อมกับเงี่ยหูคอยฟังประโยคต่อไป “แถมยังเคยคิดว่าบาคุโกคุงไม่ชอบหน้าเราตั้งแต่จบงานกีฬาUA แต่พอวันนี้ พอได้อยู่ด้วยกันแล้ว บาคุโกคุงน่ะ เป็นคนดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก”

ไม่ได้ไม่ชอบหน้าสักหน่อย เขาแค่ทำตัวไม่ถูกเวลาที่อีกฝ่ายเข้ามาคุยแค่นั้นเอง

“ขอบคุณที่ให้เราได้เห็นอีกด้านของบาคุโกคุงนะ”

คนโดนชมหน้าร้อนผ่าว ทั้งที่อากาศยามเย็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ได้ร้อนจนเหงื่อไหล ความรู้สึกโหวงเหวงในช่องท้องถูกเติมเต็มด้วยมวลหมู่ผีเสื้อแกล้งบินว่อนจนรู้สึกจั๊กจี้แบบแปลกๆ เหมือนผีเสื้อพวกนั้นกำลังจะพาร่างเบาหวิวของเขาบินขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับคนข้างๆ เลยล่ะ

“ยะ..อย่าใช้อัตลักษณ์กับฉันนะยัยแก้ม”

“เอ๊ะ?” อุรารากะหันไปมองคนข้างๆ หูแดงจัดของบาคุโกพลอยทำให้เธอหน้าแดง แถมใจเต้นเร็วไปด้วย “ขะ ขอโทษนะ บาคุโกคุง แต่ว่ามัน งื้ออ” เธอเขิน ใช่ เขินมากด้วยเมื่อนึกได้ว่าพูดอะไรออกไปก่อนหน้านี้ ทำยังไงดีโอชาโกะ ทำยังดี ฮืออ

เพราะความเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกของอุรารากะทำให้เธอใช้อัตลักษณ์ออกมา ร่างของเธอกลายเป็นเบาหวิวและกำลังลอยขึ้น เจ้าคนตัวเล็กใช้หลังมือปิดหน้าไว้หวังว่าจะซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านของตัวเองไว้ทั้งที่รู้ว่ามันซ่อนไม่มิดหรอก

“หวา ขะ ขอโทษทีนะบาคุโกคุง ฉันเผลอใช้อัตลักษณ์ไปจนได้” กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไสวเบาๆ ตามแรงลม เธอหัวเราะเสียงใสก่อนจะค่อยๆ แย้มรอยยิ้มกว้างจนแก้มดันให้ตาหยี ทุกอย่างพลันกลายเป็นภาพช้า เข็มเวลาพลันหยุดนิ่งในสายตาของคนด้านล่าง

บาคุโก คัตสึกิไม่เคยเชื่อว่านางฟ้ามีจริง

จนกระทั่งที่ร่างเล็กของอุรารากะ โอชาโกะ ลอยขึ้นกลางอากาศในเวลาพอดีกับที่พระอาทิตยคล้อยลงหลังพื้นดิน แสงอาทิตย์ย้อมสีท้องฟ้าครามให้กลายเป็นสีส้มหลากเฉดโดยมีฝูงนกบินหยอกเย้ากับกลุ่มก้อนเมฆหน้าตาประหลาดอยู่เบื้องหลัง กลีบซากุระฟุ้งกระจายในอากาศเมื่อลมยามเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมา เสียงหัวเราะใสๆ ของอุรารากะกับกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ทำให้เขากลั้นหายใจอย่างลืมตัว

บาคุโกเม้มปาก รับรู้ได้ด้วยตัวเองว่ากำลังหน้าแดงแข่งกับคนที่กำลังลอยอยู่แน่ๆ ทั้งตัวและหัวมันเบาหวิว เหมือนว่าเท้าจะลอยขึ้นนิดนึงเลยล่ะ

“อย่าปล่อยนะ ถ้าปล่อยฉันต้องลอยไปไกลแน่ๆ เลย”

ไม่คิดจะปล่อยอยู่แล้ว เขาจับมือของร่างเล็กที่ล่องลอยนั้นไว้แน่น เพราะกลัวว่าถ้าเผลอปล่อยมือ ถ้าจับมือเล็กๆ ของอุรารากะไม่แน่นพอ ร่างของเธอนั้นจะบินกลับไปยังสรวงสวรรค์ที่ตนได้จากมา

เขาไม่เคยเชื่อว่านางฟ้ามีจริง

จนกระทั่งวันนี้

“ทำหน้าอย่างกับนางฟ้าเลยนะยัยแก้ม”

FIN

จู่ๆก็คิดว่าไอ้คัตถ้าเขินจนตัวลอยต้องโทษว่าเป็นเพราะอัตลักษณ์โอชาโกะแน่ๆ มันน่ารักมากๆเลยค่ะ อร่อยมากๆเลยล่ะ ฮื้ออออออ

MCU · My Fiction

[ScarlettBrie]Unpredictable II

Unpredictable

I’ll be yours and you’ll be mine.

 

 

เสียงเพลงที่เคยกระหึ่มเมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆลดระดับเสียงลงเมื่อนาฬิกาตีไปที่เวลาปิดทำการของบาร์ นักท่องราตรีกำลังบอกลากัน บางคนที่โชคดีก็อาจจะได้คนคุยต่อตลอดทั้งคืน แต่บางคนก็เลือกที่จะปฎิเสธทุกๆความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาเพราะความเหงาและเหล้าเบียร์

 

บรียังคงนั่งอยู่ที่เดิม กำลังมองเพื่อนสาวที่กำลังช่วยกันหอบหิ้วคนเมาอย่างเทสซ่าและคนอื่นๆในกลุ่ม เธอยกเครื่องดื่มในมือจนมันหมดแก้วก่อนจะส่งให้เด็กเสิร์ฟที่เดินผ่านมาเพื่อไปเก็บโต๊ะที่อยู่ถัดไป เสียงสการ์เล็ตดังเหนือหัว

 

“ไปช่วยอลิซหิ้วเทสซ่าหน่อยสิ” เจ้าของเสียงก้มหยิบกระเป๋าถือที่วางอยู่ข้างๆเธอ “คนที่รู้คอนโดเทสซ่าก็มีแค่เธอไม่ใช่เหรอ”

 

“เทสซ่าย้ายคอนโดบ่อยจะตาย” บรีค่อยๆลุกจากโซฟาแล้วเหยียดยืนเต็มความสูง “แน่ใจได้ไงว่าฉันจะรู้”

 

สการ์เล็ตยักไหล่ “เธอรู้แล้วกัน”

 

 

 

คนเมาถูกหิ้วขึ้นรถที่มีเจ้าของเป็นบรี ลาร์สัน เบาะหลังถูกจับจองจนเต็มพื้นที่จากร่างที่หลับไม่รู้สติของเทสซ่า อลิสที่ช่วยกันหิ้วเพื่อนออกมาก็แยกไปที่รถส่วนตัวของตนเอง ตอนนี้ก็เหลือแค่บรี สการ์เล็ต และเทสซ่าเจ้าแม่ปาร์ตี้

 

“บางทีฉันควรกลับกับอลิซ”

 

“บ้าน่า” พร้อมกดปุ่มสตาร์ทรถ “คอนโดเธอกับยัยนั่นอยู่คนละฝั่งกันเลย จะให้ยัยลิซขับวนไปวนมาเพื่ออะไรอ่ะ เอ้า ขึนมาบนรถได้แล้วสการ์เล็ต”

 

 

 

 

ล้อบดพื้นถนนไฮเวย์ที่มีเสาไฟส่องแสงสีส้มรายทางทอดตัวไปไกลสุดลูกหูลูกตา เสียงเพลงของนักร้องสายอินดี้ดังคลอเคลียกับความเงียบของบุคคลทั้งสามในรถ อันที่จริงควรบอกว่าสองซะมากกว่าเพราะอีกหนึ่งคนคงหลับไปอีกยาว สการ์เล็ตทอดสายตามองข้างทาง เสียงจากตำแหน่งคนขับดังเรียกความสนใจ

 

“จะหลับก็ได้นะ” บรีเหลือบมามองพูดเสียงเรียบ “เดี๋ยวถึงแล้วจะปลุก”

 

“ไม่เป็นไร” เธอตอบ ชี้นิ้วโป้งไปที่เบาะหลัง “ยังไงก็ต้องหิ้วเทสซ่าขึ้นห้องอยู่แล้ว”

 

คนขับหัวเราะหึๆ

 

“หายากนะเนี่ยที่เธอไม่เมาหัวราน้ำไปกับเทสซ่า” สการ์เล็ตเปรยขึ้นมา แล้วมองเจ้าของรถอย่างพิจารณา ฝ่ายถูกมองเบ้ปากนิดๆก่อนจะตบไฟเลี้ยวซ้ายวินาทีถัดมาก็ตอบคำครหาของผู้โดยสาร

 

“ก็เพราะฉันกำลังทำความเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่ไง” ความเร็วรถค่อยๆชะลอลงจนมันจอดนิ่งหน้าทางขึ้นคอนโดเทสซ่า

 

“เรื่อง?” สการ์เล็ตปลดเข็มขัดนิรภัย เธอรอคอยคำตอบ เจ้าคนถูกถามชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะรีบดึงสติกลับมาแล้วตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก

 

“ร..เรื่องสีลิปสติกที่จะซื้อคืนให้เธอไง”

 

“อ๋อ” แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็เล่นเข้ามาในหัวของทั้งสอง ปากอวบอิ่มของสการ์เล็ตเม้มเข้าหากันในจังหวะที่บรีเผลอหลุบสายตาลงไปมอง ความรู้สึกนุ่มหยุ่นยังคงหลงเหลืออยู่พอให้รู้สึกถึง แต่เธอไม่แน่ใจว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรืออะไรที่ทำให้เธอไม่แน่ใจว่ามันใช่ความหอมหวานแบบเดียวกันกับในความคิดของเธอหรือเปล่า

 

เสียงกระซิบกระซาบดังมากจากส่วนหนึ่งในร่างกาย

 

ลองเช็คดูก่อนสิ มันก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา

         

ใช่ ไม่มีอะไรเสียหายหรอก

 

ประกายแวววับในดวงคู่สวยของสการ์เล็ตกำลังสื่ออะไรบางอย่างออกมา บรีมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

 

เจ้าของรถขยับตัวมาข้างหน้านิดหน่อยเป็นจังหวะเดี๋ยวกันกับอีกคนที่ขยับเข้ามาใกล้อีกนิดเช่นกัน

 

“เธอเคย…” บรีเว้นจังหวะ ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงอย่างตื่นเต้น “…จูบใครสักคนแล้วไม่แน่ใจมั้ย”

 

ใกล้กันเข้ามาอีกนิดจนได้ยินเสียงลมหายใจและได้กลิ่นน้ำหอมของอีกฝ่าย

 

“จริงๆมันก็นานแล้วที่ฉันทะเลาะกับเสียงในหัวของตัวเองว่าคนๆนี้จะใช่หรือเปล่า”

 

ปลายนิ้วเรียวแตะสัมผัสกัน หยอกล้อเล่นกับฝ่ามือของกันและกันอย่างอ้อยอิ่ง

 

เสียงแหบพร่ากระซิบตอบกลับมา

 

“ทางเดียวที่จะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่” สการ์เล็ตแย้มยิ้ม มองแพขนตาของอีกฝ่ายที่หลุบสายตาลงไปมองนิ้วมือที่เกี่ยวพันกันกลางอากาศ เธอขยับเข้าใกล้อีกนิด สูดกลิ่นน้ำหอมของอีกคนอย่างลืมตัว “มันก็ต้องลองดูไม่ใช่เหรอ”

 

บรีเบนสายตาไปที่ใบหน้าของสการ์เล็ต เธอกำลังเอียงคอมองมาด้วยแววตาที่ทั้งท้ายทายและชักชวนให้เข้าไปค้นหาคำตอบ ก่อนจะหัวเราะเบาๆอย่างติดเขินอาย แล้วตอบรับคำท้าท้ายที่แสนชวนเชิญในดวงตาคู่นั้น

 

ริมฝีปากประทับลงไปอย่างแผ่วเบา หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะก่อนที่มันจะกลับมาประมวลผลว่าความนุ่มหยุ่นและหอมหวานนี้เป็นอันเดียวกันกับก่อนหน้านี้ รู้สึกเหมือนในตัวถูกแทนที่ด้วยน้ำหวานหอมๆรสพิเศษที่มีเพียงเธอสองคนเท่านั้นที่บอกได้ว่ามันคือรสแบบไหน

 

เธอผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง

 

“แน่ใจหรือยัง?”

 

แน่ใจแล้ว  “ยังไม่เท่าไหร่ คงต้องลองอีกที”

 

พวกเราหัวเราะคิกคักก่อนจะโน้มตัวเข้าหาริมฝีปากของกันและกันอีกรอบ

 

จากแผ่วเบาเริ่มร้อนแรง

 

แรกเริ่มแค่สัมผัสสู่การรุกล้ำเพื่อค้นหาความหวานและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกลกว่านั้นก็มีเสียงปริศนา ไม่สิ ต้องบอกว่าเสียงของคนที่ถูกลืมดังมาจากเบาะหลังเสียมากกว่า

 

“เบาหน่อยสาวๆ เทสซ่าคนดียังอยู่ตรงนี้นะคะพวกหล่อน”

 

ทั้งคู่รีบผละจากกันทำให้เกิดเสียงจุ้บน่ารักๆกลางอากาศ สการ์เล็ตรีบนั่งให้ตัวเล็กที่สุดที่แน่ใจว่าเทสซ่าจะไม่เห็นหล่อน ส่วนเจ้าของรถก็กระแอ่มไออย่างเลิ่กลั่กแล้วหันมาหาเธอ

 

“อ…อ้าวเทสซ่า” กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ให้ฉันขึ้นไปส่งมั้ย หมายถึง ถ้า เธอยังไม่สร่างเมา อะไรประมาณนี้” บรีพยายามแสดงความเป็นห่วงทั้งๆที่หน้าเห่อร้อนและหัวใจก็เต้นแรงจนหูอื้อ

 

เทสซ่ายิ้มเจ้าเล่ห์ พลางคิดในใจว่า รู้ตัวกันสักทีสินะพวกเธอ ก่อนตอบปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนสาว “ไม่อ่ะ หายเมาแล้ว”

 

“อ่าห่ะ”

 

“โอเค ฉันไม่เป็นกขคง.หรืออะไรของพวกเธอแล้ว ฝันดีนะจ๊ะสการ์เล็ต”

 

คนถูกเอ่ยถึงตอบกลับประโยคแบบเดียวกัน เทสซ่าลงจากรถไปแต่ก็ไม่วายที่จะตะโกนไล่หลังตามมา

 

“พวกเธอเลือกสีลิปสติกได้เข้ากันดีนะ”

 

 

เสียงถอนหายใจจากฝั่งซ้ายเรียกเสียงหัวเราะจากบรี

 

“ขำอะไรขนาดนั้น”

 

“ไม่รู้ดิ” เธอตอบก่อนจะเงียบไปแล้ววินาทีถัดมาก็พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี “เมื่อกี้มันสุดยอดมากๆ” ก่อนจะหันไปยิ้มยียวนให้สการ์เล็ตที่กลอกตาเป็นคำตอบกลับมา

 

“ไม่อายเลยนะ”

 

“อายทำไม โตๆกันหมดแล้ว ว่าแต่เธอจะไปค้างที่คอนโดฉันก่อนหรือจะกลับบ้านเธอเลยดี” ความเงียบทอดตัวลงมาในอากาศ สการ์เล็ตเอนพิงเบาะแบบเต็มๆหลัง รู้สึกผ่อนคลายจนต้องยิ้มออกมา

 

“ไปที่บ้านฉันเลยแล้วกัน”

 

“อืม นั่นสิ ไหนๆก็ดึกแล้ว” คนขับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะนั่งตัวตรงจดจ่อกับเส้นถนนตรงหน้า

 

“ฉันหมายถึงย้ายเข้ามาอยู่บ้านด้วยกันเลยดีกว่า”

 

บรีหัวเราะร่วน “ไม่ค่อยจะรีบเลยนะ”

 

สการ์เล็ตยักไหล่ “จะช้าอยู่ทำไม โตๆกันหมดแล้ว”

 

ริมฝีปากบางของคนขับค่อยๆคลี่ยิ้มกว้างออกมา

 

“นั่นสินะ”

MCU · My Fiction

[Carolnat] Perfect Places II

Perfect Places

[ CarolNat ]

-2-

 

“ไง” คำทักทายสั้นๆที่ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรออกมาจากปากเจ้าของห้อง นาตาชากระพริบตาปริบ แล้วก็มีความเงียบที่โรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศระหว่างทั้งสองอยู่นานนับนาที

 

ทั้งสองยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครขยับจากตำแหน่งเดิม และมันก็นานมากพอที่จะให้นาตาชานักสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่างที่แปลกออกไปจากแครอลคนเดิมในความทรงจำ

 

อย่างแรกคือสรีระ แครอลคนตรงหน้าสูงกว่าแครอลในความคิดของเธอตั้งหลายเท่า แครอลคนนี้ผอมลงไปเยอะมากเมื่อเทียบกับแครอลแก้มยุ้ยคนเดิม แครอลคนนี้ใส่เสื้อผ้าโชว์ทรวดทรงอย่างโจ่งแจ้งผิดกับแครอลที่สวมชุดกระโปรงในความทรงจำ

 

เวลาสามปีที่ผ่านไปเปลี่ยนจากเด็กหญิงเป็นคุณผู้หญิงได้ขนาดนี้เลยเหรอ เธอนึกสงสัย

 

“หวัดดี”

 

“ขอทางหน่อย” อีกคนเมินคำทักทายของเธอด้วยคำพูดขอทาง เธอกำลังเมินฉันอยู่นะแครล เสียงประท้วงดังเงียบๆในหัวของนาตาชาขณะที่เจ้าของห้องแทรกตัวเข้าไปในห้อง เธอมองตามอีกฝ่ายที่ทิ้งกระเป๋าสะพายไว้ระหว่างทางขณะที่ก้าวไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่ วินาทีต่อมาร่างสูงๆนั่นก็ทิ้งตัวเองลงบนความนุ่มสีขาวอย่างอ่อนล้า

 

และเธอเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ

 

“แครล ฉันรู้ว่าเราไม่ได้เจอกันสามปี” นาตาชาเม้มปาก เดินเข้ามาในห้องนิดหน่อย “แต่เธอจะเมินฉันอย่างนี้ไม่ได้นะ”

 

น้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆติดน้อยใจหน่อยๆออกมาจากปากของคนเด็กกว่า เธอก้าวเข้ามาอีกนิด รู้สึกรื้นๆหัวตาขึ้นมา เธอรู้ว่ามันงี่เง่า แต่แครอลเป็นเพื่อนคนเดียวที่เธอไม่อยากให้เปลี่ยนไป “แครล”

 

“…”

 

เธอโบกมือไปมาตรงหน้าร่างเจ้าของห้อง แอบได้ยินเสียงกรนเบาๆออกมาเคล้ากับลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอ แล้วเธอก็รู้ตัวว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ความน้อยใจเมื่อสักครู่อันตธานหายไปในพริบตา พอได้สติกลับมาก็ทำให้เธอสามารถสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่างได้ชัดเจนขึ้น

 

แครอลไม่รู้จักระวังตัวเองเหมือนเคย แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องปีนป่ายอย่างเมื่อก่อน ครั้งนี้มันเป็นเรื่องของเสื้อผ้า เธอรู้ว่าพอผู้หญิงโตขึ้นอะไรๆมันก็จะชัดเจนและสวยงามขึ้น แต่มันไม่ใช่กับการที่อีกฝ่ายจะใส่เสื้อผ้าที่ช่วยปิดแค่ด้านหน้ากับช่วงล่าง แถมเธอยังรู้สึกว่ากางเกงที่แครอลสวมอยู่สั้นเกินไปด้วยซ้ำเมื่อมันอยู่บนขาที่เรียวยาวของร่างที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง แผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของอีกคนทำให้เธอรู้อีกว่าเพื่อนของเธอสวมชุดแบบนั้นทั้งที่ไม่มีบราช่วยปกปิดอะไรที่อยู่หลังเนื้อผ้าเลย

 

นั่นมันทำให้เธอหงุดหงิดมากๆอย่างหาสาเหตุไม่ได้ และมันเป็นความหงุดหงิดที่เธอเองก็ไม่เข้าใจด้วยเหมือนกัน

 

นาตาชาห้ามตัวเองไม่ให้ห่มผ้าให้แครอลบนเตียง แล้วเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะปิดประตูก็บึนปากประชดประชันเจ้าของห้องที่หลับปุ๋ย ช่วยไม่ได้นะแครล เธอทำตัวให้น่าหงุดหงิดเอง

 

“ป่วยขึ้นมาไม่รู้ด้วยหรอกนะ”

 

แต่ก็ปิดประตูให้เบาที่สุดเพราะไม่อยากให้เสียงรบกวนแครอล

 

.

.

 

.

มื้อค่ำดำเนินไปอย่างราบรื่นและเรียบง่าย ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนยังคงมีหัวข้อใหม่ๆมาเปิดประเด็นกันได้ไม่รู้จักจบซึ่งนั่นทำให้นาตาชาอดสงสัยไม่ว่าพวกท่านๆไม่รู้จักเหนื่อยกันบ้างเหรอ

 

“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วนะจ๊ะหนูแนท” เจ้าของชื่อยิ้มสดใสให้คุณนายแดนเวอร์สก่อนจะตอบ

 

“สิบเจ็ดปีค่ะ” เธอได้ยินเสียงว้าวมาจากสักที่ในห้อง ก่อนจะรู้สึกว่ามีมือปริศนากำลังยีหัวเธอเบาๆจากด้านหลัง

 

“จะสิบเจ็ดขวบแล้วเหรอ” เจ้าของมือก็ก้มหน้ามาข้างๆแล้วทำหน้าล้อเลียน เสียงคุณนายแดนเวอร์สเอ็ดแครอลให้ไปนั่งที่ของตัวเองซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ คนตัวสูงยักไหล่แล้วเดินอ้อยอิ่งไปที่นั่งของตัวเอง “มีแต่ของโปรดทั้งนั้นเลยอ่ะ”

 

“สำรวมหน่อยแครอล” คุณนายแดนเวอร์สดูอีกครั้งก่อนจะหันไปทางฝั่งที่คุณพ่อกับคุณแม่นั่งอยู่ “ไหนๆก็จะสิบเจ็ดแล้ว มีแพลนให้หนูแนทไปเรียนต่างประเทศหรือยังคะ?”

 

คุณพ่อกับคุณแม่มองหน้ากันก่อนที่คุณพ่อจะตอบโดยที่ไม่เอ่ยถามนาตาชาเลยสักนิด “โฮมสคูลก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไร เรียนอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆก็ดีเหมือนกัน”

 

ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้นอย่างฉับพลันรอบตัวนาตาชา เธอไม่รู้ว่าควรทำหน้าแบบไหนออกไปดีถึงแม้ว่าผู้ใหญ่รอบข้างจะคงพูดคุยกันต่อไปแต่เสียงที่ว่าเหล่านั้นก็ดังห่างออกไปทุกที

 

แล้วสเต็กในจานก็มีบร็อกโคลี่สีเขียวๆสองสามชิ้นเข้ามาเพิ่มเติมจากฝั่งตรงข้าม แครอลขะมักเขม้นกับการตักผักจากจานตัวเองใส่ในจานของเธอพูดขึ้นอย่างติดตลก “กินผักเยอะๆแนท จะได้โตเร็วๆ”

 

นาตาชายกยิ้มข้างเดียวอย่างรู้ทัน “หาเรื่องไม่กินผักเหรอแครล” แล้วก็จัดการคืนผักใส่จานคนตรงข้าม แครอลทำหน้าเหยเกเมื่อเห็นปริมาณผักใบเขียวกลับมาเท่าเดิม

 

“ไม่เอาสิแนท” แครอลงอแงจะคืนผักใส่จานเธออีกรอบ แต่คราวนี้แนทไหวตัวทันยกจานหลบอย่างรวดเร็วก่อนที่ช้อนของแครลจะถึงจานของเธอ เสียงเอ็ดของคุณนายแดนเวอร์สเพื่อเตือนทั้งสองว่าอย่าเล่นบนโต๊ะอาหาร แต่ก็มีเสียงของคุณลุงแดนเวอร์สบอกกลับมาว่าไม่เป็นไร

 

ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสดใส

 

.

.

.

 

“คิดว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว” แนทเปรยขึ้นขณะที่ยกจานมาวางข้างๆซิงค์ล้างจานที่มีคนตัวสูงกำลังใช้งานอยู่ พวกเธอปฏิเสธที่จะให้แม่บ้านมาทำส่วนนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าอยู่คุยกันอีกสักหน่อยก่อนแยกย้ายกันไปนอน คุณแม่บ้านที่เห็นว่าทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานจึงปล่อยให้คุณหนูทั้งสองของบ้านเข้าครัวช่วยกันล้างจานอย่างช่วยไม่ได้

 

คนตัวสูงยกไหล่ “กว่าจะหาวันว่างได้ก็ยากเหมือนกัน” แครลยื่นชี้นิ้วที่เต็มไปด้วยฟองน้ำยาล้างจาน “ส่งกองนั้นมาหน่อย”

 

“จริงๆเราน่าจะใช้เครื่องล้างนะแครล”

 

“ไม่จำเป็นหรอก” เธอบอก “อยากอยู่คุยต่ออีกหน่อย เราไม่ได้เจอกันตั้งสามปีนะแนท”

 

แนทพยักหน้า แล้วดันตัวขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ไม่สนว่าน้ำจากซิงค์อาจจะกระเด็นเปื้อนกระโปรงของเธอ “จริงๆเราไปคุยกันต่อที่ห้องเธอก็ได้นะแครล”

 

แครลชะงัก “ไม่ดีหรอก” เธอรีบตอบ

 

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง แนทมองใบหน้าด้านข้างของแครล ต่างหูที่แกว่งไปมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวเรียกความสนใจจากเธอ “แต่ก่อนกลัวเข็มไม่ใช่เหรอ”

 

แครอลยิ้มขณะที่ถอยออกมาเช็ดมือเพื่อเปลี่ยนให้แนทเข้ามาทำหน้าที่ส่วนที่เหลือ คนตัวเล็กยักไหล่แล้วกระโดดลงมา

 

“คนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง” แครอลตอบคำถาม มองคนตัวเล็กที่กำลังทำเสียงเลียนแบบประโยคเมื่อสักครู่ของเธอแล้วหัวเราะออกมา

 

“ไม่แครล เธอไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด” แนทโคลงหัวตามจังหวะการพูด” เธอยังอิดออดที่จะกินผักเหมือนเดิม หลับเร็วเหมือนเดิม และผมยังสีเดิม” ก่อนจะเอียงคอมองคนตัวสูงข้างๆทำหน้าราวกับว่าทั้งหมดที่เธอพูดเป็นความจริงแล้วหันกลับไปสนใจจานชามในซิงค์ตรงหน้า

 

แครอลพ่นลมหายใจก่อนจะส่ายหน้าเพราะความเอ็นดู เธอมองปอยผมแดงที่หลุดออกมาจากเปียสีแดงของแนท

 

“เชื่อเถอะแนท” มือเรียวเอื้อมไปที่ปอยผมนั้น จงใจให้ปลายนิ้วลากผ่านข้างแก้มเนียนนุ่มของเจ้าของผมเปียแล้วเกี่ยวเอาปอยผมที่ร่วงลงมาขึ้นทัดหูดให้อย่างเบามือ เธอพูดเสียงเบาลงแทบกลายเป็นกระซิบ

 

“ฉันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”

 

 

.

TBC

TMI series Fanfiction

Shadow Hunters [MALEC]The simple things.

[Shadow Hunters]

The simple things.

Malec

 

เกือบจะอาทิตย์นึงแล้วที่อเล็คไม่ได้กลับบ้าน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน การที่หัวหน้าสถาบันจะค้างที่ห้องทำงานตัวเองดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แถมยังเป็นเรื่องที่ดีมากๆด้วยซ้ำที่หัวหน้าสถาบันจะอยู่ประจำการทั้งเช้าและเย็นถึงแม้ว่ามันจะไม่มีกฏข้อไหนบอกไว้ก็ตาม เมื่อก่อนเขาคิดว่าสถาบันคือสถานที่ที่สำคัญที่สุด

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เพราะเขามีบ้านให้กลับ และบ้านหลังนั้นก็มีแม็กนัสคอยต้อนรับด้วยจูบที่แสนอบอุ่น-บ้านของพวกเรา

เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีข่าวการปรากฏตัวอย่างลึกลับของราชินีเผ่าพันธุ์โบราณที่พวกเขาไม่รู้จัก ทำให้หัวหน้าสถาบันอย่างเขาจำเป็นต้องกลับมาควบคุมสถานการณ์ตามหน้าที่อย่างที่เคยเป็นก่อนหน้านี้

“ได้อะไรมาบ้าง” เขาเอ่ยถามอันเดอร์ฮิลล์ที่เจ้าตัวกลับมาจากการสืบหาข้อมูลตามที่ได้รับมอบหมายกับแฟ้มปึกใหญ่และหนังสือเก่าๆอีกสองสามเล่ม อเล็คเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เย็นนี้คงยังไม่ได้กลับบ้าน เขาคิดพลางบีบระหว่างหัวคิ้ว เสียงประตูเปิดเข้ามาอย่างรีบร้อน เป็นร่างของเจซและอิซาเบลที่ได้ข้อมูลมารายงานเขาเช่นกันกับอันเดอร์ฮิลล์

การประชุมที่แสนตึงเครียดกำลังเริ่มขึ้น อเล็คทำได้เพียงหมุนแหวนที่นิ้วนางมือซ้าย หวังว่ามันจะช่วยส่งความคิดถึงของเขาถึงคนที่บ้านได้บ้าง

.

.

.

        พ่อมดแห่งบรูคลินถือวิสาสะแหวกอากาศเข้ามาในห้องทำงานของอเล็คที่สถาบัน

และภาพเบื้องหน้าเขาตอนนี้ก็คือฮัสกี้ตัวโตกำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตนเองโดยที่หัวคิ้วยังขมวดปมไว้แน่น แม็กนัสมองกองเอกสารที่ไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะทำงานแล้วก็แอบหงุดหงิดนิดหน่อยจนอดไม่ได้ที่จะดีดนิ้วเบาๆให้สิ่งที่เกะกะเหล่านั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยตามคำบัญชา

ขายาวพาตัวเองเข้าไปหาคนที่หลับสนิท อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วเคาะลงไปที่ปมหัวคิ้ววินาทีต่อมาคนหลับที่ถูกรบกวนก็มุ่ยหน้าแล้วขยับตัวนิดหน่อยอย่างรำคาญ เขาหัวเราะคิกคักเบาๆ

งานของพ่อมดช่วงนี้เองก็ยุ่งไม่ต่างอะไรกับงานของนักล่าเงา นั่นทำให้พวกเขาแทบไม่ได้เจอกันเลยตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา

บ้านที่ไม่มีอเล็คน่ะ มันเหงาเกินไป แม้ว่าเขาจะเคยอยู่คนเดียวมาหลายร้อยปีก็ตาม แต่สำหรับตอนนี้มันต่างออกไป

การมีอเล็คอยู่ในชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทำให้เขาตระหนักได้ว่าเวลามันผ่านไปไวกว่าที่คิด เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากจะใช้เวลาไปอย่างสูญเปล่าอีกต่อไปแล้ว ชีวิตมนุษย์น่ะ มันไม่ได้ยืนยาวอย่างชีวิตของพ่อมดหรอก ถึงแม้จะเข้าใจข้อนั้นดีแต่ก็ยังทำใจรับมันไม่ได้อยู่ดี

แม็กนัสเอื้อมมือไปกุมมือของคนตัวใหญ่ไว้ และเหมือนมันจะทำให้อีกคนรู้สึกตัวจนได้

“แม็กนัส?” อเล็คพยายามปรับโฟกัสสายตา แม็กนัสยิ้มอ่อนโยนก่อนจะบีบจมูกเขาไปมาแล้วโน้มตัวลงมาจูบเขา

“งานเป็นไงบ้าง” พ่อมดถามขณะที่โดนโอบเอวให้นั่งลงบนตักของอเล็ค คนตัวใหญ่ยังไม่ตอบอะไรพร้อมกระชับกอดให้แน่นขึ้นแล้วซุกหัวกับลาดบ่าของพ่อมดอย่างคิดถึง “กอดแน่นไปแล้วอเล็คซานเดอร์”

“คิดถึง”

“คิดถึงเหมือนกัน” เขาตอบกลับเสียงออดอ้อนในลำคอนั่นแล้วหัวเราะ ก่อนจะยกมือกุมใบหน้าของฮัสกี้ขี้อ้อนตัวโตไว้ตรงหน้า

พ่อมดพิจารณาใบหน้าอีกฝ่าย ดวงตาสีเฮเซลนัทฉายแววเหนื่อยล้าออกมาอย่างชัดเจน ใบหน้าหยาบกร้านขึ้นนิดหน่อย ส่วนหัวคิ้วที่ขมวดปมกันแน่นก่อนหน้านี้ถึงมันจะคล้ายลงนิดหน่อยแต่เขาก็ไม่ชอบใจอยู่ดี พ่อมดเตรียมกรีดนิ้วร่ายคาถาที่ช่วยให้คนรักสบายตัวขึ้นก็ถูกอเล็คคว้ามือมาจุมพิตเบาๆ

“ไม่จำเป็นต้องร่ายคาถาอะไรหรอก” มือใหญ่ลูบต้นคอคนในอ้อมกอด “แค่นายอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”

แม็กนัสระบายยิ้ม “เป็นอะไรที่ง่ายจังนะ” แล้วจุ๊บจมูกคนตรงหน้าเบาๆ

“อืม” นักล่าเงาขานรับในลำคอ “ผมปวดหัวจังแม็กนัส”

พ่อมดถูกห้ามร่ายคาถาอีกรอบ เขายกคิ้วสงสัย แต่แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อคิดวิธีรักษาอาการปวดที่แสนง่ายดายได้

ริมฝีปากบางประทับลงไประหว่างหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมให้คลายกังวลลงก่อนจะผละออกมา

“เห็นมั้ยว่ามันได้ผลพอๆกับเวทมนต์” อเล็คจูบกลับแทนคำขอบคุณ “เมื่อวานผมเพิ่งไปลงภาคสนามมา โดนต่อยที่แก้มซ้ายด้วย”

แม็กนัสเม้มปากแต่มุมปากกลับยกยิ้ม แอบไม่ชินกับลูกอ้อนแบบนี้นิดหน่อยแต่ยอมรับว่ามันรู้สึกดีเป็นบ้า มันทำให้เขาเขินมากๆในตอนนี้ เขาจุ๊บแก้มข้างที่อเล็คได้บอก คนตัวใหญ่ได้ใจก่อนจะหันอีกข้างให้แล้วบอกว่า “ข้างนี้ก็โดน” คนในอ้อมกอดหัวเราะก่อนจะเข้ามาจุ๊บหนักๆอย่างหมั่นเขี้ยว

เสียงหัวเราะคิกคักของทั้งสองดังสลับกับเสียงพูดคุยหยอกล้อกันของทั้งสอง อเล็คชอบเวลาที่แม็กนัสอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้วเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง ทั้งเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่แสนยาวนานหรือจะเป็นเรื่องเรื่อยเปื่อยอย่างการไปช่วยพ่อมดคนอื่นๆในบรูคลิน

“แล้วก็นะ เมื่อวานนี้ฉันเพิ่—“ ยังไม่ทันที่พ่อมดจะพูดจบประโยค คำพูดทั้งหมดก็ถูกทำให้เงียบลงเพราะริมฝีปากของนักล่าเงา

จูบที่เริ่มแรกเป็นเพียงการคลอเคลียไร้ซึ่งการรุกล้ำใดๆ มันค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆและบดเบียดเข้ามาอย่างโหยหา ความคิดถึงที่ถูกสะสมและเก็บกดไว้ถูกระบายออกมาผ่านริมฝีปากที่สัมผัสถึงกัน มันกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อต่างฝ่ายต่างเบียดร่างกายแนบชิดกัน

เขาไม่สามารถหยุดจูบคนตรงหน้าได้อีกแล้ว

 

 

 

MCU

[Carolnat] Perfect Places

Perfect Places

[ CarolNat ]

 

 

 

-1-

 

 

เช้าตรู่วันศุกร์ในฤดูใบไม้ผลิที่อุณหภูมิลงลดจากปกติเล็กน้อยไม่ได้ทำให้นาตาชา โรมานอฟฟ์ตื่นสายอย่างที่เคยเป็นเหมือนวันอื่นๆที่ผ่านมา สาเหตุนั้นก็มีอยู่ไม่กี่ข้อใหญ่ๆที่คุณพ่อและคุณแม่สามารถรับรู้ได้นั่นคือ หนึ่ง อีกสองวันข้างหน้าจะเป็นวันเกิดครบรอบ 17 ปีของเธอ และสอง พวกเรากำลังจะไปฉลองนอกสถานที่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนซึ่งที่นั่นคือบ้านพักตากอากาศของตระกูลแดนเวอร์ส-ตระกูลเก่าแก่ที่เป็นคู่ค้าทางธุรกิจมาเนิ่นนานก่อนที่เธอจะเกิดเสียอีก

 

แต่ทว่านั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่ทำให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาแต่งตัวในเช้าตรู่แบบนี้

 

มีอยู่หนึ่งเหตุผลที่พ่อแม่ของเธอยังไม่รู้

 

เธอเอียงคอเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองสามารถถักเปียเดี่ยวไว้ทางด้านซ้ายได้สะดวกขึ้น แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นหีบโลหะสีครีมที่มีลายดอกกุหลาบวาดมือประดับอยู่ข้างบนที่วางอยู่บนโต๊ะลิ้นชักข้างโต๊ะเครื่องแป้ง มันมีรูกุญแจเล็กๆที่เธอเองก็ลืมไปแล้วว่าเก็บแม่กุญแจไว้ที่ไหน ริมฝีปากค่อยๆยกยิ้มอ่อนโยนเมื่อนึกถึงเจ้าของจดหมายที่มีอยู่เกือบจะเต็มความจุของในหีบนั่น

 

จดหมายของแดนเวอร์ส

 

แครอล

 

ป่านนี้จะโตขนาดไหนแล้วนะ เธอคิดเงียบๆขณะเช็คความเรียบร้อยของเปียเดี่ยวและเสื้อผ้าจากภาพสะท้อนของกระจก แครอลอายุมากกว่าเธอแค่สามปีและสามปีที่ไม่ได้เจอกันทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าอีกคนจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ ลายมือในจดหมายของอีกคนยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ลายมือที่ติดตวัดที่ปลายอักษรนิดหน่อยแต่เป็นระเบียบและอ่านง่าย

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่เธอกำลังจินตนาการภาพของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานอยู่ในหัว ตามด้วยเสียงของคุณแม่ที่บอกว่าได้เวลาออกเดินทางแล้ว เธอขานรับ แล้วหยิบกระเป๋าที่เตรียมเสื้อผ้าสำหรับสามวันข้างหน้าแล้วออกจากห้องตามเสียงของคุณแม่ไป

.

 

.

 

.

 

ทิวทัศน์ข้างทางกลายเป็นภาพที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเธอตื่นขึ้นมาจากการเดินทางอันแสนยาวนาน คุณพ่อบอกว่าพวกเราอาจจะถึงบ้านพักตากอากาศของแดนเวอร์สในช่วงบ่ายๆไม่ก็ช่วงเย็น คุณพ่อไม่ชอบขับรถช่วงกลางคืนเพราะมีปัญหาด้านสายตา และในครั้งนี้ไม่มีสารถีคอยรับส่งอย่างวันทำงานวันธรรมดา การถึงที่หมายก่อนพระอาทิตย์จะตกดินจึงเป็นเรื่องที่ควรทำ

 

หญิงสาวหาวน้อยๆ เธอมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกประตูข้าง ผมเปียหลุดออกเล็กน้อย แต่มันทำให้เธอไม่ค่อยพอใจ มือสวยๆแกะโบว์สีขาวออกแล้วถักใหม่เงียบๆ ได้ยินเสียงพ่อกับแม่พูดคุยกันเกี่ยวกับงานอะไรสักอย่างที่เธอไม่รู้จักจากเบาะข้างหน้าโดยมีเสียงเพลงจากวิทยุดังแทรกเป็นระยะ นาตาชาแอบกลอกตาเล็กๆที่พอจะไม่ถูกทั้งสองเห็นแล้วตำหนิเธอ ขนาดมาเที่ยวนอกเมืองยังจะคุยกันเรื่องงาน บ้าชะมัดเลยพวกผู้ใหญ่! เธอคิดออกมาดังๆ

 

“จะถึงแล้วนะ” นั่นคือเสียงของคุณพ่อ เหมือนเป็นสัญญาณให้เธอเตรียมตัว

 

นาตาชานั่งตัวตรง รู้สึกจะหายใจแรงกว่าปกติเหมือนกับจังหวะหัวใจในอกตอนนี้ เธอยกกระเป๋าใบเล็กไว้บนตัก ปัดปอยผมที่ร่วงลงมาทางด้านขวาขึ้นทัดหูอย่างประหม่า คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างกังวลว่าชุดของเธอจะอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมเพราะในตอนนี้ไม่มีกระจกเต็มตัวที่สามารถให้เธอตรวจสอบความเรียบร้อยของชุดเดรสได้อย่างในทุก ๆวัน

 

เมื่อนึกได้ว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้าก็จะได้เจอหน้าคนที่คุยกันทางจดหมายตลอดสามปีผ่านมา แล้วหัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นความตื่นเต้นแต่ทว่าก็แฝงความกลัวที่เธอพยายมไม่นึกถึงมันเอาไว้ลึกๆด้วยเช่นกัน

 

“เดี๋ยวเราจะได้เจอแครอลแล้วนะ” คุณแม่เว้นจังหวะคิด “กี่ปีนะแนท” แล้วหันมาหาเธอที่นั่งอยู่เบาะหลัง

 

ตากลมเบิกโพลงกับคำถามที่ยิงขึ้นมาอย่างกะทันหันของคุณแม่ ก่อนจะตอบอย่างตะกุกตะกัก

 

“ส..สามปีค่ะ” รู้สึกตกใจกับโทนเสียงแปลกๆของตัวเอง คุณแม่ยิ้มให้เธออย่างเอ็นดูแล้วเอื้อมมือมาจับมือของเธอที่กุมกันไว้แน่นบนกระเป๋าหน้าตัก

 

“ไม่เป็นไร” หล่อนบีบมือของเธอให้คลายออกจากกัน “พี่แครอลไม่เปลี่ยนไปหรอกนะจ๊ะ”

 

ใช่ แครอลไม่เปลี่ยนไปหรอก ขนาดลายมือยังเหมือนเดิมเลย นาตาชาเชื่อเช่นนั้น ไหล่ที่เคยตึงจากความกังวลเมื่อสักครู่ค่อยๆลู่ลงอย่างผ่อนคลาย เธอยิ้มตอบกลับเป็นคำขอบคุณให้แก่คุณแม่

.

 

.

 

.

 

กระเป๋าสัมภาระถูกยกเข้าตัวบ้านโดยคนสวนที่ประจำอยู่ที่นี่ พวกเขาเป็นคนเดิมับเมื่อสามปีก่อน เธอกล่าวทักทายอย่างคุ้นเคย สักพักคุณชายแดนเวอร์สก็ออกมาจากตัวบ้าน คุณชายแดนเวอร์สดูแก่ขึ้นกว่าคุณพ่อนิดหน่อย เขาเดินมาสวมกอดคุณพ่อที่ก็เดินเข้าหาอีกคนอย่างคิดถึงเช่นกันก่อนที่จะผละออกแล้วกอดทักทายคุณแม่ คุณชายแดนเวอร์สหันมาทักทายหญิงสาว

 

“โตขึ้นเยอะเลยนะ” กอดจะสวมกอดเธออย่างใจดี “หืม สูงขึ้นจากสามปีที่แล้วเยอะเลย”

 

“ขอบคุณค่ะ”  คุณชายแดนเวอร์สฉีกยิ้มตาหยีให้เธอแล้วหันผายมือให้พวกเราเข้าไปในตัวบ้าน

 

ถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเป็นบ้านพักตากอากาศแต่ความจริงแล้วควรจะเรียกมันว่าคฤหาสน์ตากอากาศเสียมากกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะโตขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันใหญ่กว่าคำว่าบ้านตากอากาศทั่วไปอยู่ดี มีห้องหับมากมายให้สำรวจอยู่ที่ชั้นบนเมื่อขึ้นบันไดกลางห้องโถงไป เธอเองก็จำไม่ได้แล้วว่าห้องแต่ละห้องเป็นห้องของใครบ้าง

 

จำได้แค่เพียงว่าห้องที่อยู่ฝั่งขวาสุดทางเดิมเป็นห้องแดนเวอร์ส หมายถึงแครอล เพราะสมัยเด็กๆคุณพ่อและคุณแม่ของทั้งสองครอบครัวมักจะพาทั้งสองมาฝากไว้ให้แม่นมของแครอลดูแลเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายวัน

 

แต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือแม่นมเพิ่งเสียไปเมื่อสามปีที่แล้ว แล้ววันสุดท้ายที่เธอได้เจอแครอลก็คือวันที่ฝังศพแม่นม เรื่องเศร้าเกินขึ้นทีเดียวสองเรื่องภายเดือนเดียว

 

จะว่าไปแครอลอยู่ข้างบนหรือเปล่านะ

 

นาตาชาเดินออกมาจากห้องรับแขกที่อยู่ทางด้านซ้ายของบันได ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เจอกันหลายปีได้เปิดบทสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ

 

ค่อยๆก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นเพื่อซึมซับความรู้สึกในวัยเด็ก เนื้อไม้ของราวบันไดสีซีดลงไปเยอะจากในความทรงจำของเธอ เธอเดินผ่านประตูห้องนับสิบ จนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าห้องที่เธอคุ้นเคยมากที่สุด จะอยู่ในห้องหรือเปล่านะ

 

มือสั่นเล็กน้อยตอนเอื้อมมือไปเคาะ

 

และไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

 

แต่ก็รู้สึกขอบคุณที่แครอลไม่อยู่ตอนนี้ เพราะเธอเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าพอเจอหน้ากันจะทักทายไปว่าอะไรดี อันที่จริงก็ยังหาเหตุผลจริงๆไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงเลือกปลีกตัวออกมาแล้วพาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงนี้

 

เธอตัดสินใจหมุนตัวเพื่อย้อนกลับไปทางที่เดินมา แล้วก็ต้องตกใจจนร้องเสียงหลงเมื่อพบว่ามีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

แครอลยืนอยู่ตรงนั้น หัวใจของนาตาชาเต้นแรงขึ้นเมื่อมองใบหน้าของคนที่ไม่ได้เจอกันมาตลอดสามปี

 

 

“ไง”

 

 

-TBC-