Pairing: Gintoki x Hijikata
– FEEL –
อาการป่วยนั้นเป็นปัญหาชีวิตอย่างหนึ่ง
ซึ่งกินโทกินั้นไม่อยากเกลียดฮิจิคาตะเพราะความเกลียดก็ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิตอย่างหนึ่งที่ทำให้การดำเนินชีวิตแต่ละวันนั้นตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
เขาอยากรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้น
เรื่องมันเริ่มที่เช้าวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาแล้วใบหน้าของคนที่ไม่กินเส้นกันลอยเด่นขึ้นมาในหัว เป็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มกว้างที่เขาไปมีโอกาสได้เห็น ในวันที่ร้อนเหงื่อไหลจนหลังเปียกชื้นเพราะเขากำลังยืนรอซื้อตั๋วหนังที่หน้าโรงหนังโดยที่มีผู้คนที่พร้อมใจกันออกมาดูหนังเป็นจำนวนมากในวันและเวลานี้ ในตอนที่เขากำลังใช้พัดในมือพัดใส่หน้าตัวเองสายตาที่มองไปเรื่อยเปื่อยของเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของอีกคนท่ามกลางช่องว่างระหว่างผู้คน
เป็นรอยยิ้มกว้างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ถึงแม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มแค่เพียงเสี้ยววิแต่กินโทกิกลับรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนไปนานนับชั่วโมง
ตราตรึงใจจนเอากลับมาฝันแล้วเมื่อตื่นก็เห็นภาพรอยยิ้มนั้นวนมาอรุณสวัสดิ์นานนับอาทิตย์ เขาก็ไม่อยากจะโกหกหัวใจตัวเองหรอก แต่จู่ๆมันมีอาการแบบนี้ขึ้นมามันก็เป็นธรรมดาของคนที่คิดไปเองว่าตัวเองเกลียดอีกคนมาโดยตลอดก็ต้องไม่ยอมรับเป็นธรรมดา ถึงขั้นเคยไปสำนักงานชินเซ็นกุมิ เขาไปหาอีกคนถึงห้องทำงานแล้วถามออกไปว่า มาโผล่ทำไมในหัวของฉันนักหนา ก็ได้คำตอบเป็นหมัดหนักๆกลับมาพร้อมกับอีกคนที่ออกไปจากห้องทำงานตัวเองโดยที่ไม่มีแม้แต่คำประชดประชันที่เคยใช้กับเขาเป็นประจำเมื่อเจอหน้า นั่นทำให้กินโทกิงงงวยไปพักใหญ่
หลังจากนั้นก็เจอหน้ากันเรื่อยๆและก็ทะเลากันปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือใจของเขาเองที่มันจะเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าของอีกคน บางครั้งที่เผลอเจอกันเมื่อออกจากร้านสะดวกซื้อทั้งที่เดินเข้าไปหาเรื่องแต่ในใจกลับบอกว่าหยุดเถอะแล้วมาคุยกันดีๆจะดีกว่า
หรือจริงๆแล้วมันบอกแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าอีกคนมาตลอดแต่เขาเพิ่งจะมาได้ยินแบบชัดเจนก็คงจะเป็นเร็วๆนี้
เขาที่ไม่แน่ใจในความรู้สึกต่างๆที่เกิดกับตัวเองก็เริ่มที่จะเข้าใจมากขึ้น
ไม่ได้อยากจะชวนทะเลาะซ้ำยังอยากจะชวนเดินเล่นคุยกันเรื่อยเปื่อยมากกว่า
อยากรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้น
จู่ๆท้องก็ร้องประท้วงหาข้าวเช้าขึ้นมาในขณะที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้าห้องน้ำ คางุระที่เพิ่งตื่นนอนเดินขยี้ตามาหาเขาพร้อมกับกล่าวอรุณสวัสดิ์ เขาตอบกลับก่อนจะขยี้หัวเด็กน้อยให้ยิ่งหยุ่งเหยิงแล้วบอกให้ไปอาบน้ำ คางุระตอบรับพร้อมเสียงหาวตบท้ายก่อนจะเดินลากเท้าเข้าห้องน้ำไป กินโทกิจึงได้พาตัวเองออกมาจากตรงนั้น คว้าเอากุญแจรถที่อยู่บนโต๊ะทำงานไซส์มาตรฐานทั่วไปแล้วออกจากตัวบ้านไป
*
*
*
มีคนเคยบอกว่าอย่ากลัวที่จะรู้สึกดีกับคนๆหนึ่ง
แน่นอนว่าฮิจิคาตะไม่ได้กลัวที่จะรู้สึกดีกับคนๆหนึ่งเช่นกัน แต่ที่กลัวที่สุดเห็นทีจะเป็นการที่ ถ้าหากอีกฝ่ายที่เขารู้สึกดีด้วยรับรู้ความรู้สึกของเขาล่ะ หลังจากนั้นมันจะเป็นเช่นไร ถ้ามันเป็นผลดีนั้นก็คืออีกฝ่ายจะตอบรับความรู้สึกนั้น แต่ถ้าผลร้ายอีกฝ่ายก็คงจะโยนความรู้สึกดีเหล่านั้นทิ้งไปอย่างไร้ค่าจึงเป็นธรรมดาที่คนเราจะกลัวผลตอบแทนด้านลบกันอยู่แล้วทุกคนเลยเลือกที่จะเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้คนเดียว
ถ้าย้อนกลับไปคงจะเป็นตอนที่เจอกันครั้งแรก
ไม่แน่ใจว่าอีกคนยังจำตอนที่พวกเขามีเรื่องกันบนหลังคาได้หรือเปล่า สารภาพตามตรงเขาก็จำรายละเอียดปลีกย่อยได้ไม่มากเท่าไร สิ่งเดียวที่ตราตรึงใจของเขามาโดยตลอดคงจะเป็นเสียงดาบของตนเองหัก กับคำพูดที่บอกว่าเกมจบแล้ว แผ่นหลังในชุดก่อสร้างโดยที่ไหล่ข้างซ้ายนั้นขาดเป็นรอยยาวลงมาพร้อมกับเลือดสดๆที่ขยายเป็นวงกว้าง และคำตอบของคำถามที่เขาได้เอ่ยถามไปว่าอีกฝ่ายกำลังปกป้องอะไร ดวงตาสีเข้มคู่นั้นนิ่งสงบเช่นเดียวกับน้ำเสียงก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“วิถีของฉันไงล่ะ”
เป็นคนที่มีวิถีที่แปลกประหลาด ไม่รู้ว่าแค่พูดเอาเท่หรือพูดเพราะคิดไม่ทัน แต่นั่นก็ทำให้เขาเกิดความสนใจในตัวของอีกคนมาโดยตลอด นานเป็นวันจนกระทั่งมันเป็นยาวนานเป็นปีที่เกิดความรู้สึกเช่นนั้น แต่สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวเมื่ออีกคนเดินเขามาหาเพื่อพูดคุยนั่นก็คือคำพูดประชดประชันเพื่อปกปิดความรู้สึกทั้งที่ในใจนั้นเต้นแรงจนแทบบ้า ทำได้แค่เพียงจุดบุหรี่เพื่อลดอาการประหม่า ทำได้แค่เพียงหลบสายตาเมื่อถูกจ้องอย่างหาเรื่อง
นี่มันไม่ดีต่อใจเลย เขาได้แต่ด่าทอตัวเองทุกครั้งที่ทำอะไรไม่เข้าท่าออกไป พอกลับมาถึงบ้านทีไรก็เหมือนกลายเป็นบ้า อะไรที่จะหาที่ลงได้ฮิจิคาตะก็ระบายลงหมด ทั้งความเขิน ความดีใจ หรือแม้จะเป็นกระทั่งเสียใจที่เห็นอีกฝ่ายคุยกับผู้หญิงคนอื่น เขาที่อายุก็มากแต่กลับไม่กล้าบอกความจริงให้อีกฝ่ายรับรู้ เพราะนั่นแหละ เขากลัวว่ามันจะออกมาเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
แล้วจู่ๆคนหัวเงินก็มาเข้าถึงที่สำนักงานด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มทน ผมที่ฟูอยู่แล้วฟูหนักน่ากอดมากกว่าเดิม เขาได้แต่ตกใจแสร้งยกบุหรี่ขึ้นมาคาบแล้วทำท่ากำลังจุด
“นายจะมาอยู่ทำไมในหัวของฉันนักหนา!”
ตอนนั้นในหัวมันว่างเปล่าไปหมด บุหรี่ร่วงจากปาก เสียงหัวใจเต้นโครมครามหนักกว่าการเจอหน้ากันครั้งที่ผ่านๆมา เหมือนกับว่าเขาเพิ่งกลับมาจากการวิ่งไล่โจรในระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตร ความรู้สึกมันตีกันปนเปมั่วไปหมด ถึงแม้จะไม่ใช่คำบอกชอบโดยตรงและเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำว่าใจตรงกันกับเขา มือก็กำแน่น ปากก็พยายามที่จะไม่ยิ้มออกมา ที่ระบายเป็นหมอนใบโปรดไม่มีจึงทำได้แต่เหวี่ยงหมัดใส่คนข้างหน้าอย่างลืมตัว
ฮิจิคาตะได้แต่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เคาะปากกับกองเอกสารที่มีมาไม่หยุดไม่หย่อนอย่างเหม่อลอย มันไปไกลถึงขั้นคิดว่าคนหัวเงินกำลังทำอะไรอยู่แล้วก็ยืดสุดตัวสะบัดหัวให้หายฟุ้งซ่าน เปิดลิ้นชักชั้นแรกหมายจะหยิบบุหรี่มาสูบเผื่อหัวจะได้เบาลงหน่อยแต่แล้วก็เหลือแต่ซองที่มีให้ได้เห็น
“หมดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ฮิจิคาตะพึมพำก่อนจะปิดลิ้นชัก บิดตัวเล็กน้อยแล้วออกจากห้องไปเพื่อซื้อบุหรี่
*
*
*
“ซื้อของไปฝากคางุระหน่อยดีกว่า” กินโทกิพูดกับตัวเองก่อนจะจอดรถที่หน้าร้านสะดวกซื้อ แอร์เย็นฉ่ำเมื่อเดินเข้ามาทำให้อารมณ์ดีจนเผลอฮัมเพลงออกมา ไม่แน่ใจว่าเพราะข้างในอากาศมันเย็นหรือเพราะในหัวมันกำลังคิดถึงอีกคนกันแน่ เดินเรื่อยเปื่อยหยุดที่มุมขายนิตยาสาร หยิบจัมป์เล่มสัปดาห์ที่แล้วเปิดไปมาเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงประตูอัตโนมัติเปิดรับลูกค้าเป็นฮิจิคาตะ กินโทกิปิดหนังสือแล้ววางมันลงที่เดิมแล้วเดินไปโซนขายขนมที่อยู่ด้านหน้าเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฮิจิคาตะเดินไปที่โซนขายเครื่องดื่มที่อยู่ด้านหลัง
กินโทกิเดินผ่านชั้นที่วางขายมายองเนส เขาหยุดมองแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียวไม่รู้ว่าเพราะอะไร แค่ขวดมายองเนสกับโลโก้หน้าตาตลกจู่ๆก็ทำให้เขาคิดถึงฮิจิคาตะขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะคิดว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่ อาจจะกำลังคาบบุหรี่อยู่หน้าเอกสารกองโตก็ได้ ถ้าเขาถือวิสาสะซื้อของเข้าไปฝากจะดูแปลกหรือเปล่านะ ไม่แน่อาจจะถูกหมัดหนักๆสวนกลับมาก็ได้แต่ถ้าอีกฝ่ายยอมรับมายองเนสที่เขาซื้อไปฝากก็คุ้มกันอยู่
อยากรู้ ถ้าเปลี่ยนวิธีเข้าหาจะเป็นอย่างไร อยากรู้ว่าผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรก็ต้องลองเสี่ยง
เขาหยิบมายองเนสและขนมกินเล่นอื่นๆพอประมาณใส่ตะกร้าลืมเรื่องของฝากให้คางุระไปเสียสนิท
หวังว่าอีกคนจะคิดเหมือนกัน ฮิจิคาตะคิดขณะยืนอยู่หน้าตู้เย็นหยิบนมรสสตรอว์เบอร์รี่ถือไว้แล้วเม้มปากชั่งใจ ไม่รู้อะไรบันดาลใจให้เขาหยิบมันออกมา เขาไม่ได้ชอบรสของสตรอว์เบอร์รี่มันทั้งหวานและหอมเกินไปสำหรับเขา แต่พอในหัวนึกถึงคนหัวเงินขึ้นมามือมันก็ไปเองอย่างไม่ได้เผลอตัว
เขาก็อยากจะถามเหมือนกันว่ามาอยู่ในหัวของเขาทำไมนักหนา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขาแอบคิดถึงอยู่บ่อยๆ
จะซื้อไปดีไหมนะ แล้วถ้าซื้อไปจะไปให้ตอนไหน เขาความคิดตีกันในหัว ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะดูตลกหากจู่ๆบุกไปถึงบ้านเพื่อนมเพียงขวดเดียวแต่ไร้ซึ่งเหตุผลพิเศษใดๆนั่นเหมือนเป็นการประกาศให้อีกฝ่ายได้รับรู้ความรู้สึกของตนเองอย่างชัดเจน พอคิดถึงเหตุผลภาพตอนที่เขาต่อยหน้าอีกฝ่ายเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็กลับมาฉายซ้ำ
“งั้นก็เป็นการไถ่โทษแล้วกัน” เขาพึงพำก่อนจะหยิบนมรสสตรอว์เบอร์รี่เพิ่มอีกสองขวด
น่าตลกที่ทั้งสองฝ่ายต่างคิดถึงกันและกัน แต่กลับไม่รู้ว่าอีกคนอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมมือ เมื่อเข็มนาฬิกากำลังก้าวเดินไปข้างหน้าเป็นจังหวะที่ทั้งคู่กำลังก้าวถอยหลังทำให้แผ่นหลังของทั้งสองชนกัน เข็มนาฬิกาหยุดที่เลขสิบสองทั้งสองเข็มเป็นเวลาที่ทั้งคู่ต่างรีบกล่าวคำขอโทษก่อนที่จะหันหาอีกฝ่ายแล้วเข็มวินาทีก็หยุดเดิน
ลืมแม้กระทั่งที่จะหายใจเมื่อใบหน้าของคนในหัวปรากฏเด่นชัดในสายตา สมองสั่งการให้หาถ้อยคำประชดประชันมาพ่นใส่กันในขณะที่หัวใจกำลังสั่งในทางตรงข้าม แล้วพวกเขาจะเลือกฟังเสียงสมองหรือหัวใจ
บางทีก็ควรลองทักทายแบบอื่นดูบ้างคงไม่เสียหายอะไร
“ไง” เป็นกินโทกิที่ทำลายความเงียบ ถ้อยคำที่ดีที่สุดที่คว้านหาจากสมองที่ว่างเปล่าได้ก็มีเพียงแค่คำนี้ เขาพูดตะกุกตะกัก “ม..มาซื้อบุหรี่สินะ”
ฮิจิคาตะหลบสายตาก่อนจะพยักหน้าเบาๆ รู้สึกได้ว่าที่ใบหน้ามันร้อนกว่าปกติ แสร้งทำเป็นเอามือหลบไปข้างหลังเพื่อไม่ให้สายตาของอีกฝ่ายเห็นนมสตรอว์เบอร์รี่สามขวดที่เขาตั้งใจจะซื้อไปให้ เขากลับไปมองอีกฝ่ายพยายามควบคุมใบหน้าให้นิ่งที่สุด แต่แล้วก็แอบเห็นริ้วสีแดงจางๆที่หน้าของอีกฝ่ายนั่นยิ่งทำให้เขาใจเต้นแรง
อดคิดไปเองไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีใจให้เขาเช่นกัน
“แล้ว นายมาซื้ออะไร” ฮิจิคาตะใช้เสียงนิ่งจนกลายเป็นทุ้มต่ำน่ากลัวอย่างลืมตัว เขาได้แต่โทษตัวเองในใจ เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้เสียงโทนนี้ ทั้งที่คิดว่าควบคุมตัวเองตอนนี้ได้แล้วแต่มันไม่เลย สติตอนนี้ไม่อยู่ที่ตัวอย่างที่เคยแล้ว ถ้าทำได้อยากจะวิ่งหนีออกไปข้างนอกมันตอนนี้เลยล่ะ
“มาซื้อขนม” กินโทกิยกตะกร้าให้อีกฝ่ายพอเห็น “กะว่าจะเอาไปฝากนายด้วยถ้านายไม่ว่าอะไร”
ดอกไม้กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วบานกลีบอย่างสวยงามแล้วมันก็ระเบิดกลายเป็นมวลผีเสื้อหลากสีบินว่อนไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกดีส่งถึงกันและกันผ่านทางสายตาที่เผลอสบกันอย่างประหม่า กลายเป็นฮิจิคาตะเองที่ไม่สามารถทนความหอมหวานเกินขนาดเช่นนี้ได้ เขานั่งยองใช้มือข้างที่ว่างปิดหน้าก้มให้ต่ำที่สุดแล้วฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่อาจทนได้ หัวใจก็เต้นโครมครามด้วยความดีใจปนเขิน
กินโทกิมองคนที่ลงไปกองที่พื้นตรงหน้าแล้วเกาหัวอย่างประหม่า เข้าใจความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดก็วันนี้แล้ว เขาอยากรู้จักอีกฝ่ายให้มากกว่าเดิม เขาอยากพูดคุยกับอีกฝ่ายมากกว่าการทะเลาะ เขาอยากเห็นรอยยิ้มกว้างแบบนั้นอีกครั้ง
และมันจะดีกว่านี้หากรอยยิ้มกว้างนั้นเกิดขึ้นได้เพราะเขา
มันจะดีกว่านี้หากรอยยิ้มกว้างนั้นเป็นของเขาคนเดียว
พาตัวเองลงไปข้างล่างแล้วนั่งยองเช่นเดียวกับอีกฝ่าย เขายิ้มเมื่อเห็นท่าทางเขินของฮิจิคาตะ กินโทกิก้มลงไปแอบมองหน้าอีกฝ่ายที่พยายามปกปิดไว้ก่อนจะหัวเราะออกมา เห็นแค่หูก็รู้แล้วว่าหน้าแดงขนาดไหน ทำไมเขาถึงไม่เคยสังเกตเห็นความน่ารักที่อยู่ในตัวฮิจิคาตะมาก่อนเลยนะ ท้าวแขนกับหัวเข่าแล้วแล้ววางคางไว้ที่มือมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู เขาก็พอจะรู้ตัวว่าตอนนี้หน้าตัวเองคงจะแดงพอๆกับคนตรงหน้าเช่นกัน
ฮิจิคาตะเงยหน้ามองกินโทกิ เขาเลียนแบบท่านั่งของอีกฝ่ายด้วยใบหน้ากลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ ในที่สุดอีกคนก็รู้ความรู้สึกของเขาแล้วรับรู้หัวใจตนเองเสียที ทั้งคู่ไม่ปกปิดความรู้สึกของตนเองอีกต่อไป คำพูดประชดประชันรวมไปถึงคำหยาบทั้งหลายถูกโยนทิ้งไปเหลือแต่ความรู้สึกดีที่พวกเขาเพิ่งค้นพบ
พอกันทีกับการเจอหน้าแล้วต้องทะเลาะกัน ลืมเรื่องเลวร้ายที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วจ้องตาหวานซึ้งแก่กันดีกว่า
เราสามารถทำให้ถูกต้องตามวิถีของมันได้นะ อย่าฝืนใจตนเองเลย หัวใจของทั้งคู่บอกแก่พวกเขาเช่นนั้น
“ไปดูหนังกันไหม?” กินโทกิเอ่ยถามคนที่อมยิ้มหันหน้าไปอีกทาง
ฮิจิคาตะตอบตกลง
FIN