Gintama Fiction

Feel

Pairing: Gintoki x Hijikata

 

 

– FEEL –

 

 

 

อาการป่วยนั้นเป็นปัญหาชีวิตอย่างหนึ่ง

 

ซึ่งกินโทกินั้นไม่อยากเกลียดฮิจิคาตะเพราะความเกลียดก็ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิตอย่างหนึ่งที่ทำให้การดำเนินชีวิตแต่ละวันนั้นตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเจน

 

เขาอยากรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้น

 

เรื่องมันเริ่มที่เช้าวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาแล้วใบหน้าของคนที่ไม่กินเส้นกันลอยเด่นขึ้นมาในหัว เป็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มกว้างที่เขาไปมีโอกาสได้เห็น ในวันที่ร้อนเหงื่อไหลจนหลังเปียกชื้นเพราะเขากำลังยืนรอซื้อตั๋วหนังที่หน้าโรงหนังโดยที่มีผู้คนที่พร้อมใจกันออกมาดูหนังเป็นจำนวนมากในวันและเวลานี้ ในตอนที่เขากำลังใช้พัดในมือพัดใส่หน้าตัวเองสายตาที่มองไปเรื่อยเปื่อยของเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของอีกคนท่ามกลางช่องว่างระหว่างผู้คน

 

เป็นรอยยิ้มกว้างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ถึงแม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มแค่เพียงเสี้ยววิแต่กินโทกิกลับรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนไปนานนับชั่วโมง

 

ตราตรึงใจจนเอากลับมาฝันแล้วเมื่อตื่นก็เห็นภาพรอยยิ้มนั้นวนมาอรุณสวัสดิ์นานนับอาทิตย์ เขาก็ไม่อยากจะโกหกหัวใจตัวเองหรอก แต่จู่ๆมันมีอาการแบบนี้ขึ้นมามันก็เป็นธรรมดาของคนที่คิดไปเองว่าตัวเองเกลียดอีกคนมาโดยตลอดก็ต้องไม่ยอมรับเป็นธรรมดา ถึงขั้นเคยไปสำนักงานชินเซ็นกุมิ เขาไปหาอีกคนถึงห้องทำงานแล้วถามออกไปว่า มาโผล่ทำไมในหัวของฉันนักหนา ก็ได้คำตอบเป็นหมัดหนักๆกลับมาพร้อมกับอีกคนที่ออกไปจากห้องทำงานตัวเองโดยที่ไม่มีแม้แต่คำประชดประชันที่เคยใช้กับเขาเป็นประจำเมื่อเจอหน้า นั่นทำให้กินโทกิงงงวยไปพักใหญ่

 

หลังจากนั้นก็เจอหน้ากันเรื่อยๆและก็ทะเลากันปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือใจของเขาเองที่มันจะเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าของอีกคน บางครั้งที่เผลอเจอกันเมื่อออกจากร้านสะดวกซื้อทั้งที่เดินเข้าไปหาเรื่องแต่ในใจกลับบอกว่าหยุดเถอะแล้วมาคุยกันดีๆจะดีกว่า

 

หรือจริงๆแล้วมันบอกแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าอีกคนมาตลอดแต่เขาเพิ่งจะมาได้ยินแบบชัดเจนก็คงจะเป็นเร็วๆนี้

 

เขาที่ไม่แน่ใจในความรู้สึกต่างๆที่เกิดกับตัวเองก็เริ่มที่จะเข้าใจมากขึ้น

 

ไม่ได้อยากจะชวนทะเลาะซ้ำยังอยากจะชวนเดินเล่นคุยกันเรื่อยเปื่อยมากกว่า

 

อยากรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้น

 

จู่ๆท้องก็ร้องประท้วงหาข้าวเช้าขึ้นมาในขณะที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้าห้องน้ำ คางุระที่เพิ่งตื่นนอนเดินขยี้ตามาหาเขาพร้อมกับกล่าวอรุณสวัสดิ์ เขาตอบกลับก่อนจะขยี้หัวเด็กน้อยให้ยิ่งหยุ่งเหยิงแล้วบอกให้ไปอาบน้ำ คางุระตอบรับพร้อมเสียงหาวตบท้ายก่อนจะเดินลากเท้าเข้าห้องน้ำไป กินโทกิจึงได้พาตัวเองออกมาจากตรงนั้น คว้าเอากุญแจรถที่อยู่บนโต๊ะทำงานไซส์มาตรฐานทั่วไปแล้วออกจากตัวบ้านไป

 

 

*

*

*

 

 

มีคนเคยบอกว่าอย่ากลัวที่จะรู้สึกดีกับคนๆหนึ่ง

 

แน่นอนว่าฮิจิคาตะไม่ได้กลัวที่จะรู้สึกดีกับคนๆหนึ่งเช่นกัน แต่ที่กลัวที่สุดเห็นทีจะเป็นการที่ ถ้าหากอีกฝ่ายที่เขารู้สึกดีด้วยรับรู้ความรู้สึกของเขาล่ะ หลังจากนั้นมันจะเป็นเช่นไร ถ้ามันเป็นผลดีนั้นก็คืออีกฝ่ายจะตอบรับความรู้สึกนั้น แต่ถ้าผลร้ายอีกฝ่ายก็คงจะโยนความรู้สึกดีเหล่านั้นทิ้งไปอย่างไร้ค่าจึงเป็นธรรมดาที่คนเราจะกลัวผลตอบแทนด้านลบกันอยู่แล้วทุกคนเลยเลือกที่จะเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้คนเดียว

 

ถ้าย้อนกลับไปคงจะเป็นตอนที่เจอกันครั้งแรก

 

ไม่แน่ใจว่าอีกคนยังจำตอนที่พวกเขามีเรื่องกันบนหลังคาได้หรือเปล่า สารภาพตามตรงเขาก็จำรายละเอียดปลีกย่อยได้ไม่มากเท่าไร สิ่งเดียวที่ตราตรึงใจของเขามาโดยตลอดคงจะเป็นเสียงดาบของตนเองหัก กับคำพูดที่บอกว่าเกมจบแล้ว แผ่นหลังในชุดก่อสร้างโดยที่ไหล่ข้างซ้ายนั้นขาดเป็นรอยยาวลงมาพร้อมกับเลือดสดๆที่ขยายเป็นวงกว้าง และคำตอบของคำถามที่เขาได้เอ่ยถามไปว่าอีกฝ่ายกำลังปกป้องอะไร ดวงตาสีเข้มคู่นั้นนิ่งสงบเช่นเดียวกับน้ำเสียงก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

 

“วิถีของฉันไงล่ะ”

 

เป็นคนที่มีวิถีที่แปลกประหลาด ไม่รู้ว่าแค่พูดเอาเท่หรือพูดเพราะคิดไม่ทัน แต่นั่นก็ทำให้เขาเกิดความสนใจในตัวของอีกคนมาโดยตลอด นานเป็นวันจนกระทั่งมันเป็นยาวนานเป็นปีที่เกิดความรู้สึกเช่นนั้น แต่สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวเมื่ออีกคนเดินเขามาหาเพื่อพูดคุยนั่นก็คือคำพูดประชดประชันเพื่อปกปิดความรู้สึกทั้งที่ในใจนั้นเต้นแรงจนแทบบ้า ทำได้แค่เพียงจุดบุหรี่เพื่อลดอาการประหม่า ทำได้แค่เพียงหลบสายตาเมื่อถูกจ้องอย่างหาเรื่อง

 

นี่มันไม่ดีต่อใจเลย เขาได้แต่ด่าทอตัวเองทุกครั้งที่ทำอะไรไม่เข้าท่าออกไป พอกลับมาถึงบ้านทีไรก็เหมือนกลายเป็นบ้า อะไรที่จะหาที่ลงได้ฮิจิคาตะก็ระบายลงหมด ทั้งความเขิน ความดีใจ หรือแม้จะเป็นกระทั่งเสียใจที่เห็นอีกฝ่ายคุยกับผู้หญิงคนอื่น เขาที่อายุก็มากแต่กลับไม่กล้าบอกความจริงให้อีกฝ่ายรับรู้ เพราะนั่นแหละ เขากลัวว่ามันจะออกมาเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

 

แล้วจู่ๆคนหัวเงินก็มาเข้าถึงที่สำนักงานด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มทน ผมที่ฟูอยู่แล้วฟูหนักน่ากอดมากกว่าเดิม เขาได้แต่ตกใจแสร้งยกบุหรี่ขึ้นมาคาบแล้วทำท่ากำลังจุด

 

“นายจะมาอยู่ทำไมในหัวของฉันนักหนา!”

 

ตอนนั้นในหัวมันว่างเปล่าไปหมด บุหรี่ร่วงจากปาก เสียงหัวใจเต้นโครมครามหนักกว่าการเจอหน้ากันครั้งที่ผ่านๆมา เหมือนกับว่าเขาเพิ่งกลับมาจากการวิ่งไล่โจรในระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตร ความรู้สึกมันตีกันปนเปมั่วไปหมด ถึงแม้จะไม่ใช่คำบอกชอบโดยตรงและเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำว่าใจตรงกันกับเขา มือก็กำแน่น ปากก็พยายามที่จะไม่ยิ้มออกมา ที่ระบายเป็นหมอนใบโปรดไม่มีจึงทำได้แต่เหวี่ยงหมัดใส่คนข้างหน้าอย่างลืมตัว

 

ฮิจิคาตะได้แต่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เคาะปากกับกองเอกสารที่มีมาไม่หยุดไม่หย่อนอย่างเหม่อลอย มันไปไกลถึงขั้นคิดว่าคนหัวเงินกำลังทำอะไรอยู่แล้วก็ยืดสุดตัวสะบัดหัวให้หายฟุ้งซ่าน เปิดลิ้นชักชั้นแรกหมายจะหยิบบุหรี่มาสูบเผื่อหัวจะได้เบาลงหน่อยแต่แล้วก็เหลือแต่ซองที่มีให้ได้เห็น

 

“หมดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ฮิจิคาตะพึมพำก่อนจะปิดลิ้นชัก บิดตัวเล็กน้อยแล้วออกจากห้องไปเพื่อซื้อบุหรี่

 

 

*

*

*

 

 

“ซื้อของไปฝากคางุระหน่อยดีกว่า” กินโทกิพูดกับตัวเองก่อนจะจอดรถที่หน้าร้านสะดวกซื้อ แอร์เย็นฉ่ำเมื่อเดินเข้ามาทำให้อารมณ์ดีจนเผลอฮัมเพลงออกมา ไม่แน่ใจว่าเพราะข้างในอากาศมันเย็นหรือเพราะในหัวมันกำลังคิดถึงอีกคนกันแน่ เดินเรื่อยเปื่อยหยุดที่มุมขายนิตยาสาร หยิบจัมป์เล่มสัปดาห์ที่แล้วเปิดไปมาเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงประตูอัตโนมัติเปิดรับลูกค้าเป็นฮิจิคาตะ กินโทกิปิดหนังสือแล้ววางมันลงที่เดิมแล้วเดินไปโซนขายขนมที่อยู่ด้านหน้าเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฮิจิคาตะเดินไปที่โซนขายเครื่องดื่มที่อยู่ด้านหลัง

 

กินโทกิเดินผ่านชั้นที่วางขายมายองเนส เขาหยุดมองแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียวไม่รู้ว่าเพราะอะไร แค่ขวดมายองเนสกับโลโก้หน้าตาตลกจู่ๆก็ทำให้เขาคิดถึงฮิจิคาตะขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะคิดว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่ อาจจะกำลังคาบบุหรี่อยู่หน้าเอกสารกองโตก็ได้ ถ้าเขาถือวิสาสะซื้อของเข้าไปฝากจะดูแปลกหรือเปล่านะ ไม่แน่อาจจะถูกหมัดหนักๆสวนกลับมาก็ได้แต่ถ้าอีกฝ่ายยอมรับมายองเนสที่เขาซื้อไปฝากก็คุ้มกันอยู่

 

อยากรู้ ถ้าเปลี่ยนวิธีเข้าหาจะเป็นอย่างไร อยากรู้ว่าผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรก็ต้องลองเสี่ยง

 

เขาหยิบมายองเนสและขนมกินเล่นอื่นๆพอประมาณใส่ตะกร้าลืมเรื่องของฝากให้คางุระไปเสียสนิท

 

หวังว่าอีกคนจะคิดเหมือนกัน ฮิจิคาตะคิดขณะยืนอยู่หน้าตู้เย็นหยิบนมรสสตรอว์เบอร์รี่ถือไว้แล้วเม้มปากชั่งใจ ไม่รู้อะไรบันดาลใจให้เขาหยิบมันออกมา เขาไม่ได้ชอบรสของสตรอว์เบอร์รี่มันทั้งหวานและหอมเกินไปสำหรับเขา แต่พอในหัวนึกถึงคนหัวเงินขึ้นมามือมันก็ไปเองอย่างไม่ได้เผลอตัว

 

เขาก็อยากจะถามเหมือนกันว่ามาอยู่ในหัวของเขาทำไมนักหนา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขาแอบคิดถึงอยู่บ่อยๆ

 

จะซื้อไปดีไหมนะ แล้วถ้าซื้อไปจะไปให้ตอนไหน เขาความคิดตีกันในหัว ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะดูตลกหากจู่ๆบุกไปถึงบ้านเพื่อนมเพียงขวดเดียวแต่ไร้ซึ่งเหตุผลพิเศษใดๆนั่นเหมือนเป็นการประกาศให้อีกฝ่ายได้รับรู้ความรู้สึกของตนเองอย่างชัดเจน พอคิดถึงเหตุผลภาพตอนที่เขาต่อยหน้าอีกฝ่ายเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็กลับมาฉายซ้ำ

 

“งั้นก็เป็นการไถ่โทษแล้วกัน” เขาพึงพำก่อนจะหยิบนมรสสตรอว์เบอร์รี่เพิ่มอีกสองขวด

 

น่าตลกที่ทั้งสองฝ่ายต่างคิดถึงกันและกัน แต่กลับไม่รู้ว่าอีกคนอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมมือ เมื่อเข็มนาฬิกากำลังก้าวเดินไปข้างหน้าเป็นจังหวะที่ทั้งคู่กำลังก้าวถอยหลังทำให้แผ่นหลังของทั้งสองชนกัน เข็มนาฬิกาหยุดที่เลขสิบสองทั้งสองเข็มเป็นเวลาที่ทั้งคู่ต่างรีบกล่าวคำขอโทษก่อนที่จะหันหาอีกฝ่ายแล้วเข็มวินาทีก็หยุดเดิน

 

ลืมแม้กระทั่งที่จะหายใจเมื่อใบหน้าของคนในหัวปรากฏเด่นชัดในสายตา สมองสั่งการให้หาถ้อยคำประชดประชันมาพ่นใส่กันในขณะที่หัวใจกำลังสั่งในทางตรงข้าม แล้วพวกเขาจะเลือกฟังเสียงสมองหรือหัวใจ

 

บางทีก็ควรลองทักทายแบบอื่นดูบ้างคงไม่เสียหายอะไร

 

“ไง” เป็นกินโทกิที่ทำลายความเงียบ ถ้อยคำที่ดีที่สุดที่คว้านหาจากสมองที่ว่างเปล่าได้ก็มีเพียงแค่คำนี้ เขาพูดตะกุกตะกัก “ม..มาซื้อบุหรี่สินะ”

 

ฮิจิคาตะหลบสายตาก่อนจะพยักหน้าเบาๆ รู้สึกได้ว่าที่ใบหน้ามันร้อนกว่าปกติ แสร้งทำเป็นเอามือหลบไปข้างหลังเพื่อไม่ให้สายตาของอีกฝ่ายเห็นนมสตรอว์เบอร์รี่สามขวดที่เขาตั้งใจจะซื้อไปให้ เขากลับไปมองอีกฝ่ายพยายามควบคุมใบหน้าให้นิ่งที่สุด แต่แล้วก็แอบเห็นริ้วสีแดงจางๆที่หน้าของอีกฝ่ายนั่นยิ่งทำให้เขาใจเต้นแรง

 

อดคิดไปเองไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีใจให้เขาเช่นกัน

 

“แล้ว นายมาซื้ออะไร” ฮิจิคาตะใช้เสียงนิ่งจนกลายเป็นทุ้มต่ำน่ากลัวอย่างลืมตัว เขาได้แต่โทษตัวเองในใจ เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้เสียงโทนนี้ ทั้งที่คิดว่าควบคุมตัวเองตอนนี้ได้แล้วแต่มันไม่เลย สติตอนนี้ไม่อยู่ที่ตัวอย่างที่เคยแล้ว ถ้าทำได้อยากจะวิ่งหนีออกไปข้างนอกมันตอนนี้เลยล่ะ

 

“มาซื้อขนม” กินโทกิยกตะกร้าให้อีกฝ่ายพอเห็น “กะว่าจะเอาไปฝากนายด้วยถ้านายไม่ว่าอะไร”

 

ดอกไม้กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วบานกลีบอย่างสวยงามแล้วมันก็ระเบิดกลายเป็นมวลผีเสื้อหลากสีบินว่อนไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกดีส่งถึงกันและกันผ่านทางสายตาที่เผลอสบกันอย่างประหม่า กลายเป็นฮิจิคาตะเองที่ไม่สามารถทนความหอมหวานเกินขนาดเช่นนี้ได้ เขานั่งยองใช้มือข้างที่ว่างปิดหน้าก้มให้ต่ำที่สุดแล้วฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่อาจทนได้ หัวใจก็เต้นโครมครามด้วยความดีใจปนเขิน

 

กินโทกิมองคนที่ลงไปกองที่พื้นตรงหน้าแล้วเกาหัวอย่างประหม่า เข้าใจความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดก็วันนี้แล้ว เขาอยากรู้จักอีกฝ่ายให้มากกว่าเดิม เขาอยากพูดคุยกับอีกฝ่ายมากกว่าการทะเลาะ เขาอยากเห็นรอยยิ้มกว้างแบบนั้นอีกครั้ง

 

และมันจะดีกว่านี้หากรอยยิ้มกว้างนั้นเกิดขึ้นได้เพราะเขา

 

มันจะดีกว่านี้หากรอยยิ้มกว้างนั้นเป็นของเขาคนเดียว

 

พาตัวเองลงไปข้างล่างแล้วนั่งยองเช่นเดียวกับอีกฝ่าย เขายิ้มเมื่อเห็นท่าทางเขินของฮิจิคาตะ กินโทกิก้มลงไปแอบมองหน้าอีกฝ่ายที่พยายามปกปิดไว้ก่อนจะหัวเราะออกมา เห็นแค่หูก็รู้แล้วว่าหน้าแดงขนาดไหน ทำไมเขาถึงไม่เคยสังเกตเห็นความน่ารักที่อยู่ในตัวฮิจิคาตะมาก่อนเลยนะ ท้าวแขนกับหัวเข่าแล้วแล้ววางคางไว้ที่มือมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู เขาก็พอจะรู้ตัวว่าตอนนี้หน้าตัวเองคงจะแดงพอๆกับคนตรงหน้าเช่นกัน

 

ฮิจิคาตะเงยหน้ามองกินโทกิ เขาเลียนแบบท่านั่งของอีกฝ่ายด้วยใบหน้ากลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ ในที่สุดอีกคนก็รู้ความรู้สึกของเขาแล้วรับรู้หัวใจตนเองเสียที ทั้งคู่ไม่ปกปิดความรู้สึกของตนเองอีกต่อไป คำพูดประชดประชันรวมไปถึงคำหยาบทั้งหลายถูกโยนทิ้งไปเหลือแต่ความรู้สึกดีที่พวกเขาเพิ่งค้นพบ

 

พอกันทีกับการเจอหน้าแล้วต้องทะเลาะกัน ลืมเรื่องเลวร้ายที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วจ้องตาหวานซึ้งแก่กันดีกว่า

 

เราสามารถทำให้ถูกต้องตามวิถีของมันได้นะ อย่าฝืนใจตนเองเลย หัวใจของทั้งคู่บอกแก่พวกเขาเช่นนั้น

 

“ไปดูหนังกันไหม?” กินโทกิเอ่ยถามคนที่อมยิ้มหันหน้าไปอีกทาง

 

ฮิจิคาตะตอบตกลง

 

 

 

FIN

Gintama Fiction

My little sweet Hijikata

Gintoki X [Female]Hijikata

My little sweet Hijikata

Rate: G

 

 

ใจกลางเมืองโยชิวาระมีร้านเบเกอรี่เพิ่งเปิดใหม่

 

ทั้งที่ไม่ใช่เมืองใหญ่อย่างกรุงโตเกียวหรือฮอกไกโด ร้านเบเกอรี่ที่ตกแต่งแนวโมเดิร์นทันสมัยดูจะขัดตาอย่างชัดเจนกับสภาพแวดล้อมบ้านเก่าๆโดยรอบ กลิ่นของขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จโชยออกจากร้านทำให้คนที่เดินผ่านไปมายอมหยุดเพื่อมองร้านที่อยู่ผิดที่ผิดทางสักครู่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูบานสีขาวออก เสียงกระดิ่งที่ดังจังหวะเดียวกับเสียงขานต้อนรับของเจ้าของร้านอย่างเป็นมิตรและกลิ่นที่พวกตนได้สัมผัสตามลมมาในทีแรกก็ยิ่งชัดเจนเมื่อก้าวผ่านพ้นประตูเข้ามาจนทำให้ต้องเผลอหลับตาสูดดมกลิ่นเหล่านั้นก่อนจะทักทายกลับไป

 

ซากาตะ กินโทกิเป็นชายวัยกลางคนที่ผันตัวเองจากนักธุรกิจมาเป็นพาติเช่ขนมทุกชนิดทุกประเภท ซ้ำยังเพิ่มเครื่องดื่มและของคาวเข้าไปด้วย ทำให้เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ้างใครเข้ามาเป็นลูกมือเลย เพราะร้านที่ลงทุนเปิดนั้นไม่ได้ใหญ่มากจนต้องมีคนคอยวิ่งเสิร์ฟหรือรับเมนู ในร้านมีโต๊ะลูกค้าสองชุดกับบาร์นั่งเดี่ยวติดหน้าต่างอีกสามที่เท่านั้น เขาเลือกที่จะทำร้านเล็กๆเพื่อที่จะสามารถใส่ใจกับลูกค้าทุกคน ขนมทุกชนิดและต้องการให้คนที่เข้ามานั้นเกิดความสบายใจมากกว่าที่จะมานั่งฟังคนอื่นคุยกันเสียงดัง

 

ร้านเปิดมาได้สองอาทิตย์แล้ว ลูกค้าแต่ละวันก็ไม่ได้มากหรือน้อยเกินไปและส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียนจากโรงเรียนใกล้ๆนี้เสียมากกว่าเขาจึงมักจะมีโหลเล็กๆบรรจุลูกกวาดหลากสีไว้เพื่อให้เด็กๆหรือลูกค้าคนอื่นได้หยิบติดไม้ติดมือไปฟรีๆ

 

เสียงกระดิ่งประตูดังอีกครั้งกินโทกิที่อยู่ส่วนครัวย้ายร่างมาที่เคาน์เตอร์สีขาวแล้วกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร

 

“สวัสดีครับ”

 

เด็กสาวรูปร่างอวบอั๋นเดินเข้ามาในร้านโค้งหัวให้เขาเล็กน้อยเธอเดินไปวางกระเป๋าที่บาร์เดี่ยวในสุดด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย กินโทกิมองตามการกระทำทุกอย่างก่อนจะเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“เพิ่งเลิกเรียนเหรอครับ? วันนี้มาซะเย็นเชียว” เขายิ้มให้กับคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเพื่อสั่งเมนู เธอชื่อฮิจิคาตะ เท็นโกะ เป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักมากคนหนึ่งแต่ด้วยรูปร่างอ้วนแบบนั้นเลยโดนใครหลายคนมองข้ามส่วนนี้ไปแล้วเอาความอ้วนของเธอนั้นมาล้อเลียนจนเธอนั้นแทบจะไม่มีเพื่อน และหน้าตาที่นิ่งแบบนั้นด้วยแล้วทำให้เด็กสาวกลายเป็นคนที่หน้าไม่รับแขกอย่างเห็นได้ชัดเจน

 

ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงได้รู้ลึกรู้จริงยิ่งกว่าคมชัดลึกนั้นเพราะฮิจิคาตะคุง (เธอชอบให้เติมคำว่าคุงต่อท้ายมากกว่าฮิจิคาตะจัง) เป็นลูกค้าของเขาตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้านแล้วเธอก็ยังคงมาทุกวัน เธอมีเพื่อนแค่คนเดียวชื่อโซโกะที่จะมาด้วยในบางวันเท่านั้น เธอมักจะนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆที่มุมในสุดของบาร์เดี่ยว เธอชอบโกโก้ร้อนและขนมหวานทุกชนิด และไม่สนใจด้วยว่าคนอื่นจะล้อเลียนเธออย่างไรก็ตาม บางวันที่กลับดึกเธอก็จะแวะซื้อขนมกลับบ้านซ้ำยังช่วยเขาปิดร้านอีกด้วย

 

ฮิจิคาตะคุงเป็นเด็กน่ารักมากเธอใจดีแต่แค่ยิ้มไม่เก่งและพูดน้อยคงเพราะโดนล้อที่โรงเรียนเลยทำให้เธอเลิกที่จะเข้าหาคนอื่นซึ่งต่างจากคนวัยเดียวกันที่เป็นวัยติดเพื่อนมากกว่าครอบครัว

 

เธอเปิดเมนูบนเคาน์เตอร์ไปเรื่อยๆไล่ดูทีละอย่าง กินโทกิเท้าศอกมองภาพตรงหน้าด้วยความสนใจ ผมหน้าม้าลู่ลงตามแรงโน้มถ่วง แพขนตายาว ผิวเนียนละเอียดและแก้มกลมๆใสๆนั่นทำให้เขานึกถึงขนมปังบริยอชที่ส่งกลิ่นหอมชวนลิ้มรสในยามเช้าหลังจากตื่นนอนเสียจริง

 

เดี๋ยวนะ นี่เขาคิดอะไรอยู่ นั่นเด็กนะ!

 

กินโทกิตบหน้าตัวเองเรียกให้คนมองเมนูอยู่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย เขาหัวเราะแห้งๆ เด็กสาวก้มมองเมนูต่อ

 

“เอาเป็นช็อคโกแลตชีสเค้กค่ะ เอ่อ ขอเพิ่มแยมสตรอว์เบอร์รี่ไปด้วยนะคะ”  เธอพูดเบาแต่ในร้านที่เงียบแบบนี้สามารถได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ

 

“ได้สิ ส่วนเครื่องดื่มล่ะ?” …โกโก้ร้อน เขาคิด

 

“โกโก้ร้อนค่ะ”

 

เขายิ้มมองตามเด็กสาวที่เดินกลับไปที่นั่งของตัวเอง

 

 

ไม่นานเมนูที่สั่งไปก็ถูกจัดเสิร์ฟพร้อมกับเจ้าของร้านที่มีแก้วโกโก้ร้อนเช่นเดียวกันกับเด็กสาวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ฮิจิคาตะมองช็อคโกแลตชีสเค้กโดยที่ข้างๆมีกระปุกใสใบเล็กบรรจุแยมสตรอว์เบอร์รี่ทำเอง แต่นอกจากนั้นแล้วยังมีขนมปังที่เธอไม่ได้สั่งมาเพิ่มด้วยอีกสองชิ้น เธอหันไปมองด้วยความสงสัยแต่กินโทกิกลับเห็นประกายเล็กๆในดวงตาที่สงสัยอยู่คู่นั้น

 

“ของแถม” เขายกยิ้มแต่ก็เสมองไปทางอื่น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นขนมปังบริยอช แค่เห็นแก้มนั่นแล้วมันอดไม่ได้ที่จะ…จินตนาการไปไกล

 

“ไม่ค่ะ เกรงใจ” เธอตอบกลับแล้วเลื่อนจานขนมปังมาตรงหน้ากินโทกิ เขาเลื่อนกลับไปแต่มือน้อยๆก็เลื่อนมันกลับมาตรงหน้าเขาเหมือนเดิม กินโทกิถอนหายใจ

 

“เอางี้ เรามาแบ่งกัน” เขาหยิบก้อนกลมขึ้นมาหนึ่งชิ้น กัดเข้าปากแล้ววางลงเหมือนเดิม “ นี่ของฉัน นั่นของเธอ”

 

ฮิจิคาตะมองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมปล่อยเลยตามเลยแล้วมาสนใจชีสเค้กตรงหน้าตัวเอง เธอค่อยๆตักมันเข้าปาก กินโทกิมองตามลิ้นที่กวาดเอาเศษช็อคโกแล็ตบนริมฝีปากจิ้มลิ้มด้วยสายตาหิว(?)พร้อมกับก้อนเนื้อที่เต้นโครมครามอยู่ข้างใน ยามที่เธอซดโกโก้ร้อนแล้วฟองนมขาวติดที่ริมฝีปากสีแดงสดนั้นยิ่งทำให้สติของหนุ่มวัยกลางคนอย่างเขากระเจิงไปไหนต่อไหน

 

กินโทกิสูดหายใจเข้าลึก ลูบหน้าตัวเองหันไปอีกทาง หลังจากที่เสียภรรยาไปก็ไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงคนไหนอีกจนกระทั่งเด็กสาวตุ้ยนุ้ยคนนี้โผล่มาทำให้เขาแทบเสียผู้เสียคนเสียผู้ใหญ่!

 

นั่นยังเด็กอยู่นะเว้ยกินโทกิ เดี๋ยวโดนจับเข้าคุกหรอกเขาเตือนตัวเองในใจ

 

“…ให้ตาย”

 

“คะ?” ฮิจิคาตะได้ยินเสียงเบาๆมาจากคนข้างๆก่อนจะหันไปถามด้วยความสงสัย

 

“ ฉันหมายถึงอร่อยไหม?”  เขาหันกลับมา เกาท้ายทอยแล้วโคลงหัวแต่ตายังคงมองควันในแก้วโกโก้ร้อนนั่นเหมือนกับมันน่าสนใจยิ่งกว่าเด็กสาวข้างๆ ฮิจิคาตะอมยิ้มกับท่าทางแปลกๆของคนข้างตน มันน่าแปลกที่เวลาเธอมองรอยยิ้มของคนๆนี้หัวใจของเด็กสาววัยรุ่นก็เต้นผิดจังหวะทั้งที่เธอไม่เคยเป็นเวลามองคนอื่น

 

“อันนี้เรียกว่าอะไรคะ?” เธอชี้ขนมปังก้อนกลมชิ้นที่ยังไม่ถูกกัด กินโทกิมองตามนิ้วนั่นก่อนจะเริ่มอธิบายด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ

 

“ ขนมปังบริยอช…ขนมปังฝรั่งเศสน่ะ ส่วนใหญ่จะกินคู่กับน้ำชาหอมๆในตอนเช้า” เขาเอื้อมไปหยิบส้อมในจานชีสเค้กตรงหน้าเด็กสาว กลิ่นขนมอบยามเมื่อร่างของกินโทกิขยับเข้าหาทำให้หัวใจของเด็กสาวยิ่งเต้นผิดจังหวะเข้าไปอีก “ฉันเพิ่งลองทำเมื่อเช้าไม่รู้ว่ามันจะได้เรื่องหรือเปล่า เธอช่วยลองชิมแล้วบอกหน่อยได้ไหม?”

 

ขนมปังบริยอชที่แต้มด้วยแยมสตรอว์เบอร์รี่ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มของเจ้าของร้าน กินโทกิได้แต่ตะโกนถามตัวเองในใจว่านี่ตรูทำอะไรลงป๊ายยย เขาไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นเลย เขาไม่ได้อยากเห็นปากจิ้มลิ้มนั่นเวลาอ้าปากแล้วกัดขนมแบบซึ่งๆหน้า เขาไม่ได้อยากรู้ว่าถ้าเป็นแยมสตรอว์เบอร์รี่เปื้อนปากเธอจะเช็ดอย่างไร เขาไม่ได้อยากรู้ว่าถ้าแก้มกลมๆนั่นเคี้ยวขนมอยู่จะน่ารักระดับไหน

 

เขาไม่อยากรู้เลยจริงๆเถอะ!

 

ขนาดไม่อยากรู้แต่ความรู้สึกเสียดายที่ก่อตัวหลังจากที่เด็กสาวหยิบขนมออกจากมือไปแล้วกัดกินเองนั้นคืออะไรเขาก็ไม่สามารถจะตอบได้เพราะเขาไม่อยากรู้(?)

 

“อร่อย”  เสียงเบาๆเรียกกินโทกิที่อารมณ์ดรอปลงให้หันตามไป มือเล็กๆแตะที่ปากของตัวเองเบิกตาประกายชัดเจนทำให้เขาหัวเราะออกมา

 

น่ารักจริงๆด้วย

 

“ยังมีอีกหลายชิ้นนะ ถ้าเธอชอบ”  เขาที่กำลังลุกไปหยิบขนมมาเพิ่มจำเป็นต้องหยุดลงเพราะเสียงของเด็กสาว

 

“ไม่เป็นไรค่ะ สักพักเดี๋ยวก็กลับแล้ว”  กินโทกิกระพริบตาปริบๆนั่งลงที่เดิมของตน ช่วงเย็นย่ำค่ำจะไม่ค่อยมีลูกค้าสักเท่าไหร่ทำให้เขารู้สึกเหงาจับใจเมื่อรู้ว่าลูกค้าคนสุดท้ายของวันกำลังจะออกจากร้านแล้ว

 

ขอต่อเวลาสักหน่อยนะ

 

“ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามเสียงเรียบมองออกไปนอกกระจกบานใสไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ตรงข้ามมีพวกเด็กๆที่เล่นกันอยู่เริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน ตะวันคล้อยลงทอแสงสีส้มโดยที่มีเมฆหน้าตาตลกบดบังเหมือนกับแกล้งไม่ให้แสงนั่นสาดส่องถึงพื้นดิน

 

“ปกติค่ะ ไม่เห็นจะมีอะไร” เธอจิบโกโก้ร้อนที่ตอนนี้กลายเป็นอุ่น ความขมเล็กๆปนมากับความหวานหอมทำให้เธอผ่อนคลาย “ถึงจะมีคนล้อเลียนฉันก็เลิกสนใจไปตั้งนานแล้วล่ะค่ะ”

 

“ไม่เหงาเหรอที่ไม่ค่อยมีคนคุยด้วย” กินโทกิถามเหมือนไม่ใช่ตัวเองเพราะเขากำลังมองภาพเด็กน้อยสองคนจูงมือกันข้ามถนนอย่างเหม่อลอย ฮิจิคาตะมองตาม

 

“อย่างน้อยทุกเย็นฉันก็มีคนที่อยากคุยด้วยอยู่นะคะ”

 

“อืม…” เขาขานรับในลำคอเบาๆ

 

เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ

 

เดี๋ยววววว!

 

กินโทกิหันกลับมาด้วยใบหน้าแปลกประหลาด มันทั้งสงสัย ดีใจ ตกใจ และไม่เข้าใจปนกันไปมา เขามองเด็กสาวที่ยกแก้วโกโก้ขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายแต่แก้มกลมๆนั่นกำลังมีสีแดงอ่อนๆลามไปถึงใบหูแสดงให้เขาเห็น

โอ้ย…ให้ตาย ใจคนเราหน๋อใจคนเรา โดยเฉพาะใจคนที่เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่มันเต้นโครมครามเหมือนจะเด้งออกมาให้คนข้างๆได้รับรู้เพียงเพราะรู้สึกว่าเด็กสาวข้างกายตนนั่นน่ารักน่าฟัดมากขนาดไหน กินโทกิต้องพยายามกุมใจให้สงบลงเพื่อไม่ให้เผลอตัวทำอะไรแปลกๆกับเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะลงไป เขายกโกโก้ซดเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อห้ามใจตัวเองโดยที่ไม่สนว่ามันจะยังร้อนอยู่ช่วยอีกทางแล้ววางลงอย่างแรงกว่าปกติแต่ทำให้เด็กสาวสะดุ้งด้วยความตกใจได้

 

“เธออายุเท่าไหร่นะ?” ว่าแล้วปิดปากตัวเองด้วยความตกใจทันที นี่เขากำลังต้องการอะไรกันแน่เนี่ย!

 

ฮิจิคาตะหลุดขำอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นทำให้กินโทกิผู้ผ่านประสบการณ์ความรักมาไม่มากก็น้อยเสียศูนย์ล้มโครมทางสติอย่างไม่เป็นท่า จวนจะเลขสามกลางๆอยู่แล้วยังจะมาตกหลุมรักเด็กที่อายุห่างจากตัวเองเป็นสองรอบแบบง่ายๆอีก แล้วนี่อะไรทำไมมันร้อนๆที่หน้า นี่มันไม่ใช่ป๊อปปี้เลิฟในวัยทีนนะเว้ยกินโทกิ นั่นมันเด็กโว้ย เด็ก!

 

เขาปรามตัวเองพยายามทำให้จิตและใบหน้านิ่งที่สุดเท่าที่พยายามได้ ก่อนจะกระแอมไอสองสามที

 

“สิบแปดค่ะ” เธอตอบด้วยความใสซื่อ แล้วเอียงคอมองคนข้างๆ “ทำไมทำหน้าตาน่ากลัวอย่างนั้นล่ะคะ?”

 

คำว่าสิบแปดดังเคว้งในหัวเขาเหมือนเสียงระฆังดังก้องในความเงียบ

 

“ไม่มีอะไรหรอก”  เขาสูดหายใจเข้าเพื่อตั้งสติ “ว่าแต่จะกลับเลยไหม ค่ำแล้วมันอันตราย” เขาพูดด้วยความเป็นห่วง

 

“ค่ะ ทั้งหมดเท่าไหร่คะ?” ฮิจิคาตะเดินไปที่เคาน์เตอร์  เจ้าของร้านเดินตามไปแล้วเข้าไปส่วนด้านหลังครัว หยิบขนมอีกหลายชิ้นใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่แล้วกลับออกมายื่นให้เด็กสาวที่อยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ เขาที่บอกว่าไม่คิดเงินถูกขัดขึ้นอย่างเอาแต่ใจเล็กๆว่า “ไม่ได้นะคะ”  ทำให้เขาต้องจำใจคิดเงินให้แล้วทอนกลับไป

 

“ให้ไปส่งไหม?” กินโทกิถามขณะที่ฮิจิคาตะหอบถุงขนมไปหยิบกระเป๋าที่บาร์เดี่ยว ฝ่ายหลังตอบปฎิเสธกลับมาก่อนจะยกยิ้มขอบคุณที่ทำให้หัวใจของเจ้าของร้านพองโตเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่อาจทราบได้ เขาโบกมือให้จนกระทั่งเด็กสาวเดินออกจากร้านลับตาไป

 

ความเงียบกลับเข้ามาให้ร้านอีกครั้ง

 

กินโทกิสูดลมหายเข้าเต็มปอด ปล่อยมันออกมาพร้อมเสียงเยส!อย่างดีใจแล้วกระโดดเป็นบ้าไปทั่วทั้งร้าน พร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้ แล้วหมุนตัวประหนึ่งเป็นนักเต้นบัตเลย์ไปเก็บจานที่บาร์เดี่ยว เขายกแก้วโกโก้ที่ว่างเปล่าของเด็กสาว นึกภาพตอนที่มือทั้งสองกุมแก้วใบใหญ่นี้ไว้แล้วค่อยๆเป่าให้โกโก้ร้อนนั้นอุ่นลงก็ทำให้เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมา

 

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันรอเก่ง”

 

หมายถึงว่ารอให้วันพรุ่งนี้มาคุยด้วยกันใหม่ ไม่ได้รอจนกว่าจะอายุยี่สิบหรอกนะ! ไม่ได้รอจริงๆ!(เสียงสูง)

 

 

 

-Fin-

 

 

 

 

 

Gintama Fiction

STAY 2/?

Far away

GH and another

 

 

พวกนายสองคนเนี่ยเหมือนเส้นขนานเลยนะ ไม่มีทางบรรจบกันแหงๆ

 

ฉันว่าคู่พวกนายไปไม่รอดหรอกว่ะ

 

ไม่นานก็เลิกกัน เชื่อดิ

 

..

.

 

เหรอ? แล้วที่แต่งงานอยู่กันมานานเนี่ยเรียกว่าไปไม่รอดหรือเปล่าล่ะ ฮิจิคาตะแสยะยิ้มในใจให้แก่ถ้อยคำดูถูกต่างๆที่เขาเคยได้รับมาเมื่อคนเหล่านั้นรู้ว่าเขากำลังคบกับผู้ชายอยู่

 

วันสุดท้ายของการดูงานในต่างประเทศยังคงน่าเบื่ออยู่ดี อันที่จริงเขาชอบการมาต่างประเทศนะ แต่ถ้ามาเรื่องงานมันก็น่าเบื่ออยู่ดีนั่นแหละ เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้านั่งอยู่ที่ปลายเตียงในห้องวีไอพีบนโรงแรมระดับห้าดาว การเจรจาที่แสนยาวนานในที่สุดก็จบลงเสียทีเมื่อเจ้าของหุ้นส่วนที่ทำท่าจะถอนหุ้นออกจากบริษัทตอบตกลงที่จะถือหุ้นต่อเมื่อเห็นว่าผลตอบแทนที่เขาได้เสนอไปมันคุ้มค่าแก่การอยู่ต่อ ฮิจิคาตะนวดขมับทั้งสองข้างก่อนจะทิ้งตัวลงไปที่เตียงทั้งที่ยังอยู่ในชุดสูทเต็มยศ ความนุ่มนิ่มและกลิ่นหอมอ่อนๆทำให้หัวผ่อนคลาย มือสวยเอื้อมไปหยิบสมาร์ทโฟนที่หล่นอยู่บนเตียงข้างๆตัวก่อนจะเช็คเวลาโลก

 

ที่นี่สามทุ่มที่บ้านก็น่าจะประมาณตีสอง เขาประเมินอยู่ในใจก่อนจะเข้าแอพลิเคชั่นสื่อสารแล้วพิมพ์ข้อความลงไปในช่องแชทที่ส่งหาบ่อยที่สุดช่วงสองวันมานี้

 

งานยุ่งมั้ย : H

 

ไม่นานก็ขึ้นสถานะว่าอ่านแล้วราวกับอีกคนกำลังรออยู่

 

G : ไม่อ่ะ นายน่าจะยุ่งกว่า

G : กินข้าวหรือยัง?

G : แล้วนี่อาบน้ำหรือยัง

G : ปวดหัวหรือเปล่า งานเยอะๆนายชอบปวดหัว

     หายากินด้วย

G : ที่นู่นกี่โมงแล้ว?

G : จะกลับพรุ่งนี้ใช่มั้ย

G : เฮ้! ตอบหน่อยสิ 😦

 

ฮิจิคาตะอมยิ้มให้กับข้อความเหล่านั้น เล่นพิมพ์รัวมาขนาดนี้แล้วเขาจะตอบกลับไปได้ยังไงกัน

 

เจ้าโง่ : H

                   ไปนอนได้แล้ว : H

 

สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงในข้อความเหล่านั้นก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา ฮิจิคาตะที่จะพิมพ์ตอบกลับเลือกที่จะลบข้อความเหล่านั้นทิ้งหมายจะกวนประสาทอีกฝ่ายโดยการยังไม่ตอบกลับไปในทันที เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว จะรีบตอบกลับไปทำไม คุยกันแบบต่อหน้ายังไงก็ดีกว่าช่องทางสื่อสารสมัยใหม่เยอะ

 

ฮิจิคาตะชอบมองเวลาที่อีกฝ่ายพูด ในขณะที่ริมฝีปากเรียวของคนรักกำลังขยับออกมาเป็นคำพูดต่างๆนาๆเขาจำความรู้สึกอ่อนนุ่มของริมฝีปากนั้นได้ เขาชอบมองสายตาที่เปล่งประกายราวกับเด็กน้อยของอีกคนเมื่อได้ของที่ถูกใจ เขาชอบเวลาที่มือแข็งแกร่งคู่นั้นกำลังประกอบชิ้นงานน่ารักเล็กๆแล้วส่งมาให้เขา เขาชอบกลิ่นกายของอีกคนเวลาได้โอบกอดกัน

 

ฮิจิคาตะชอบทุกอย่างที่เป็นกินโทกิ

 

หัวกำลังคิดเจ้าของข้อความที่เด้งเตือนติดๆกันแต่เขาเลือกที่จะแกล้งเมินข้อความเหล่านั้น ความนุ่มของเตียงละลายความเหนื่อยล้าของร่างกาย เนื้อตัวหนักอึ้งและรู้สึกว่ากำลังจะจมลงไปในเตียงที่นุ่มนิ่มและหอมสะอาดนี้

 

“ง่วงชะมัด” เขาพึมพำ

 

ทันทีที่ความคิดต่างๆสิ้นสุดหนังตาก็ค่อยๆปิดลง  ปล่อยสมาร์ทโฟนจากมือให้คว่ำหน้าอยู่บนเตียงข้างๆกัน แค่คิดว่าพรุ่งนี้ก็จะได้เจอคนที่บ้านแล้วก็ยิ้มบางๆออกมากแล้วปล่อยให้ร่างกายชัตดาวน์ตัวเองในห้วงความคิดถึง

 

*

*

*

 

ฮิจิคาตะกำลังเก็บสัมภาระลงกระเป๋าเดินทาง เขาหยิบสมาร์ทโฟนบนเตียงแล้วส่งข้อความหากินโทกิ

 

กำลังกลับ : H

 

ข้อความจากอีกฝ่ายเด้งขึ้นมาซ้อนกันทันทีที่เขากดส่ง

 

G : กลับหรือยัง?

G : ได้ เดี๋ยวไปรอที่สนามบินเลยแล้วกัน

 

เขายิ้ม สัมผัสได้ถึงความดีใจในข้อความเหล่านั้น นึกเห็นภาพที่เจ้าหมาตัวโตกำลังหูตั้งส่ายห่างอย่างดีใจเมื่อรู้ว่าเจ้านายของตนกำลังกลับมา หยิบกระเป๋าเอกสารใส่ประเป๋าเดินทางปิดกระเป๋าแล้วส่งข้อความหากินโทกิอีกครั้ง

 

ไม่ต้องรีบหรอก เดินทางทั้งวัน : H

เลิกงานค่อยมารับก็ได้ : H

 

ขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความที่เขาส่งไปยังไม่ขึ้นสถานะใดๆและอีกฝ่ายยังไม่ตอบกลับมา ฮิจิคาตะปิดโทรศัพท์ก่อนจะลากกระเป๋าไปที่ประตูห้อง มีสายเรียกเข้ามาขัดจังหวะการเปิดประตู เบอร์ที่ไม่คุ้นเคยปรากฏเด่นบนหน้าจอ

 

“ครับ?”

 

‘คุณฮิจิคาตะ ผมยามาซากินะครับ’  ฮิจิคาตะนึก ก่อนจะจำได้ว่าเป็นคนของบริษัทที่เดินทางมากับเขาด้วย

 

“อืม มีอะไรหรือเปล่า”

 

‘มีแน่ครับ’ เสียงปลายสายดูร้อนรน ‘เจ้าของหุ้นส่วนที่เพิ่งตกลงไปเมื่อว่าโทรมาขอยกเลิกข้อตกลงน่ะครับ ท่านประธานคอนโด้เลยอยากจะให้คุณฮิจ…’

 

“เข้าใจแล้ว อีกสิบนาทีมารับได้เลย” ฮิจิคาตะตอบกลับปลายสายทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบประโยคก่อนจะตัดสายทิ้ง เขาถอนหายใจกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายและยีผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด

 

“เอาใจยากจังวะ” และจำต้องหันร่างกลับเข้าห้องอีกครั้งทั้งที่กำลังจะออกไปแล้วเปลี่ยนมาใส่ชุดสูทสีดำเต็มยศอีกครั้ง คว้ากระเป๋าเอกสาร เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นเป็นข้อความที่ส่งมาจากกินโทกิ เขาเปิดอ่าน เป็นรูปภาพเก้าอี้แถวสำหรับนั่งรอในสนามบินโดยมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินไปมาพร้อมกับข้อความสั้นๆแต่แฝงไปด้วยการรอคอย

 

G : ลางานเรียบร้อย~

ขอโทษ : H

G : ขอโทษทำไม?

 

มีสายเรียกเข้าขณะที่เขากำลังปิดประตูห้อง

 

‘เป็นอะไรหรือเปล่า?’ เสียงเจือปนความเป็นห่วงท่ามกลางเสียงความวุ่นวายจากปลายสาย ฮิจิคาตะส่ายหัวแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น

 

“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา” เขายกไหล่ขึ้นเพื่อช่วยหนีบสมาร์ทโฟนไว้ข้างหูในขณะที่กำลังเดินติดกระดุมสูทตัวนอกไปที่ลิฟต์ “ลูกค้าเอาใจยากมาก”

 

ปลายสายหัวเราะร่วน ‘แล้วจะกลับเมื่อไหร่’

 

 “น่าจะอีกสองวัน ถ้าเจรจาให้ยอมกลับมาถือหุ้นต่อ นานหน่อยก็อาจจะเป็นอาทิตย์ แต่ถ้าคุณคอนโด้ใจเด็ดพอยอมปล่อยหุ้นส่วนรายนี้ไปก็กลับเย็นนี้” เขาร่ายยาวขณะรออยู่หน้าลิฟต์

 

‘จู่ๆก็อยากให้กอลิล่าใจเด็ดแฮะ’ กินโทกิพูดทีเล่นทีจริง

 

“หยาบคาย เรียกเจ้าของบริษัทฉันว่ากอลิล่าได้ยังไง” เขาดุปลายสาย “ถึงจะเหมือนมากก็เถอะ”

 

ปลายสายเงียบไปพร้อมกับลิฟต์ตรงหน้าที่เปิดออก

 

“ต้องไปแล้ว”

 

‘รีบๆกลับมานะ’

 

“อืม”

 

*

*

*

 

การเจรจายังคงไม่สำเร็จ และวันนี้ก็เลยกำหนดการที่ฮิจิคาตะต้องกลับมาสองวันแล้ว ฮิจิคาตะนั่งอยู่ในภัตคารหรูใจกลางเมือง ตรงข้ามที่นั่งตรงข้ามเขาและรอบโต๊ะเป็นยามาซากิและลูกน้องคนอื่นๆ ยามาซากิกำลังเอาเอกสารออกจากกระเป๋าส่งให้คนข้างๆ รอบโต๊ะเริ่มถกเถียงกัน บางคนเสนอวิธีการต่างๆ บางคนกลับเลือกให้ปล่อยไปเสีย

 

ถือหุ้นรายใหญ่อันดับต้นๆขนาดนั้นคุณคอนโด้จะยอมปล่อยไปง่ายๆหรือ ฮิจิคาตะคิด สมองกำลังรับคำพูดต่างๆที่ลูกน้องรอบโต๊ะกำลังพูดคุยกัน อันที่จริงเขาก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับการที่ปล่อยผู้ถือหุ้นรายนี้ไป เป็นรายใหญ่ก็จริงแต่เจ้าตัวจะกอบเอาแต่ผลประโยชน์อย่างเดียว

 

อย่างเช่นถ้าบริษัทขายได้หนึ่งร้อยเจ้าตัวก็จะขอส่วนแบ่งเป็นเจ็ดสิบอย่างหน้าตาเฉย บ่อยครั้งที่คุณคอนโด้เลือกที่จะปั้นหน้ายิ้มและตอบตกลงฮิจิคาตะก็จะเป็นคนท้วงติงทุกครั้งที่ออกจากห้องประชุมว่ามันไม่สมควรเลยที่จะให้อีกฝ่ายได้มากกว่าบริษัทแม่ต้องได้ คุณคอนโด้ก็จะแค่ตอบกลับมาว่าไม่เป็นไร เพราะยังมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ที่ไม่มีทางจะถอนหุ้นออกไปง่ายๆโดยมีเหตุผลเป็นตัวเขา

 

ใช่ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทก็คือกินโทกิ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมีประชุมทีไรเจ้าตัวการนี่ถึงไม่ยอมมาเลยสักที เขาที่อยู่บริษัทจำต้องหอบเอาเอกสารกลับไปให้ถึงบ้านอยู่ร่ำไป และอีกอย่างที่เขาไม่เข้าใจคุณคอนโด้เลยคือการที่เชื่อใจคนลอยชายอย่างกินโทกิมากจนเกินไปหรือเปล่าถึงกล้าพูดได้หน้าตาเฉยว่าไม่มีทางที่จะถอนหุ้นไปง่ายๆ

 

ยิ่งนึกก็ยิ่งคิดถึง นี่เขาไม่อยู่บ้านมาห้าวันเต็มๆแล้วนะ อีกคนจะทำอะไรอยู่กัน จะทำครัวพังอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตื่นนอนไปทำงานทันหรือเปล่านะ ฮิจิคาตะจมอยู่ในภวังค์

 

เป็นคำตอบของความคิดถึง สมาร์ทโฟนบนโต๊ะอาหารสั่นแจ้งเตือนอยู่สามที และนั่นก็เป็นข้อความจากคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่

 

G : งานเยอะมากกกกก

G : คุยงานถึงไหนแล้ว กลับมาสักทีเถอะ

G : รีบๆกลับมานะ อยากกอด อยากxyz

       ไอ้บ้า : H

งานก็เยอะไม่ต่างกันหรอก : H

 

เขาอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งสติกเกอร์กลับมา หัวเราะเบาๆเมื่อกินโทกิถ่ายรูปกองเอกสารบนโต๊ะส่งมาให้


สมน้ำหน้า : H

G : คิดถึงใจจะขาดแล้ว ไม่มีคนให้คอยฮีลเลย 😦

 

รู้สึกข้างในอกมันเติมเต็มจนเผลอฉีกยิ้มออกมาในขณะที่ก้มดูสมาร์ทโฟนโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของลูกน้องรอบโต๊ะที่กำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนทั้งหมดรอบโต๊ะจะมองหน้ากันแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
เอาล่ะเวลาแห่งการเอาคืนหัวหน้าผู้เขร่งขรึมของพวกเขามาถึงแล้ว

 

“แหม่ มีคนคอยส่งข้อความหาทุกวันนี้มันดีจังเลยนะครับ” ยามาซากิเป็นคนเปิดประเด็น ไม่ใช่ว่ารอยยิ้มนั้นจะเกิดขึ้นวันนี้ แต่ตั้งแต่ช่วงที่บินออกนอกประเทศ เมื่อไหร่ที่คุณฮิจิคาตะจับสมาร์ทโฟนก็มักจะมีรอยยิ้มเสมอๆ ก็มีวันนี้นี่แหละที่ยิ้มกว้างที่สุดที่เขาเคยเห็น

 

“เห็นรังสีความชมพูนั่นไหมครับทุกคน” ยามาซากิผายมือไปทางฮิจิคาตะที่นั่งตรงข้ามก่อนจะดึงทั้งสองมือกลับมากุมไว้ตรงหน้าอก ยกไหล่แล้วหลับตาทำหน้าหวานซึ้ง ลูกน้องคนอื่นเริ่มแซ็วฮิจิคาตะตามยามาซากิโดยลืมบรรยากาศตึงเครียดเมื่อสักครู่ไปเสียสนิท

 

แต่มีหรือที่ลูกนกจะสู้พญาอินทรี

 

ฮิจิคาตะปิดสมาร์ทโฟนแล้ววางกลับที่เดิม เขาท้าวแขนข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะ มืออีกข้างท้าวที่หัวเข่าแล้วเอนตัวไปข้างหน้า ส่งหน้าเรียบเฉยไปให้ยามาซากิที่ยังค้างอยู่ในท่าโอ้ ความรักจ๋า อย่างเอาเรื่อง ก่อนจะกวาดสายตานิ่งเฉยมองที่เหลือ แค่นั้นก็ทำให้บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

 

“ขอโทษที่ออกนอกเรื่อง รอบนี้ฉันผิดเอง” แล้วก็เปลี่ยนมายกมือเสมอไหล่ทั้งสองข้างเป็นการรับผิด ก่อนจะพิงพนักเก้าอี้พูดด้วยเสียงสบาย “ใครมีแผนดีๆนำเสนอบ้างไหม ว่ามาสิ”

 

แล้วทุกคนก็เริ่มถกเถียงกันอีกครั้ง

 

*

*

*

 

ฮิจิคาตะเดินออกมาจากโรงแรมพร้อมกับคุณคอนโด้

 

ร่างสูงของคุณคอนโด้หันมาหาเขา มองเขาแล้วทำท่าเหมือนกำลังนึกบางอย่าง ก่อนจะหันกลับไป ฮิจิคาตะสำรวจตัวเองว่าตนลืมอะไรหรือเปล่า ก่อนจะขึ้นรถตามอีกคนไป

 

การเจรจาเกิดขึ้นอย่างดุเดือดเมื่อผู้หุ้นรายนี้ยังไม่ยอมตกลงข้อเสนอง่ายๆส่งผลให้คุณคอนโด้ต้องบินมาจากบริษัทแม่เพื่อมาเจรจาด้วยตนเอง เขานับถือความสุขุมและสุภาพของคุณคอนโด้ถึงแม้ว่าจะเจอเรื่องที่กดดันเพียงใดยังสามารถมีรอยยิ้มอย่างจริงใจให้แก่ผู้สนทนาด้วยได้เสมอๆ กลับกันถ้าเป็นเขาคงจะแสดงออกมาทางสายตาอย่างชัดเจนเลยว่าอย่ามาต่อรองอะไรงี่เง่าแบบนี้แน่นอน

 

เวลาล่วงเลยจนมาถึงบ่ายในที่สุดการเจรจาก็สิ้นสุดลง ยังไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากประธานบริษัทคอนโด้ อิซาโอะ แต่ทว่าใบหน้ากลับแสดงอย่างชัดเจนว่าเหนื่อยล้าและเอือมระอากับผู้ถือหุ้นรายนี้ จนกระทั่งที่รถประจำตำแหน่งมาถึง ฮิจิคาตะเปิดประตูให้คนเป็นประธานกล่าวขอบคุณก่อนจะยิ้มบางๆ ฮิจิคาตะพาร่างตัวเองเข้ามานั่งในรถก่อนจะปิดประตู

 

ความเงียบเกิดขึ้นจนกระทั่งรถมาติดไฟแดง คุณคอนโด้จึงพูดขึ้นมา

 

“กี่วันแล้วนะที่นายเจรจากับผู้หญิงคนนี้”

 

ฮิจิคาตะนับจำนวนวันอยู่ในใจตั้งแต่วันแรก ถ้ารวมวันนี้เข้าไปก็เป็นวันที่เจ็ดพอดี เขาตกใจตัวเอง นี่เขาอยู่นอกบ้านเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เลยเหรอเนี่ย เป็นเวลานานที่สุดที่เคยมาดูงานนอกประเทศเลย ป่านนี้กินโทกิจะเป็นยังไงบ้างนะ ช่วงนี้สองสามวันมานี้ไม่ได้ส่งข้อความหากันเลยเพราะว่าต่างฝ่ายต่างยุ่งทั้งคู่ นึกแล้วก็เป็นห่วง ตอบคำถามประธานบริษัทด้วยความเหม่อลอย

 

“รวมวันนี้ก็วันที่เจ็ด…ครับ”

 

คุณคอนโด้เบิกตา เขาเองก็ลืมวันเวลาเช่นเดียวกันเพราะมัวแต่ต้องเดินทางไปประเทศอื่น ไหนจะต้องยุ่งกับเรื่องหลานชายที่จะเข้ามหาลัยอีก ทำเอาคุณอาอย่างเขานอนไม่พอไปหลายคืน คอนโด้มองคนข้างๆที่สายตาเหม่อออกไปข้างนอกรถ เห็นความห่วงใยในสายตาคู่นั้นจึงยิ้มออกมา

 

“ไม่ต้องห่วงกินโทกิหรอก มันยังไม่ตาย” คอนโด้พูดติดตลก “แค่เหี่ยวลงไปเยอะกว่าปกติ บอกให้บินมาหาก็บอกว่านายสั่งไว้ว่าห้ามบินตามมา เฉาจนแทบแห้ง” ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

ฮิจิคาตะยกยิ้ม ก่อนจะถามคำถามที่เขาสงสัยมานาน

 

“ทำไมคุณคอนโด้ถึงมั่นใจว่ากินโทกิจะไม่ถอนหุ้นไปล่ะครับ”

 

คอนโด้ยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าสนใจวิวข้างนอกรถ “เป็นเพื่อนกันน่ะ ตั้งแต่เด็ก แต่เอาจริงๆหมอนั่นก็อ่อนกว่าฉันเยอะนะ น่าจะเกือบเท่านาย” เขาถอนหายใจ “แต่หมอนั่นไม่เคยจะเคารพฉันเลยสักนิดเดียว น่าเหนื่อยใจจริงๆ”

 

ข้อสงสัยถูกคลายลงจนกระจ่าง ข้อกังขาถึงความเชื่อมั่นในตัวกินโทกิของคุณคอนโด้ถูกลบเลือนไป เขาอมยิ้มเมื่อนึกถึงนิสัยไม่ยอมใครของคนหัวเงิน แล้วเสียงเรียบของคุณคอนโด้ก็ขัดจังหวะเขาอีกครั้ง

 

“ถ้าถอนไปหนึ่งหุ้นจะเสียหายไปสักท่าไหร่กัน” ฮิจิคาตะหันกลับไปมองคนข้างๆ อีกฝ่ายหลับตาพ่นลมหายใจยาวๆ “กลับบ้านได้เลยนะ พอกันทีกับผู้หญิงเอาแต่ได้คนนี้แล้ว”

 

“คุณคอนโด้จะยอมให้เขาถอนหุ้นจริงๆเหรอครับ?”

 

“เจ้าหล่อนยื้อเวลาซะขนาดนี้ขืนเข้าไปเล่นต่อก็เสียเวลาเปล่าๆ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า อีกอย่าง…” เขาหันมามองฮิจิคาตะเต็มตา “ฉันว่านายต้องการพักผ่อนเต็มที่แล้วล่ะ ขอบคุณที่เหนื่อยมาตลอดหนึ่งอาทิตย์เต็มนะ”

 

รู้สึกได้ถึงความเอาใจใส่กับพนักงานของคุณคอนโด้ก็ยิ้มออกมา เขากล่าวคำขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกตื้นตัน

 

 

 

 

 

TBC

Gintama Fiction

[GH] BEAUTY AND THE BEAST 3/?

GH

:: BEAUTY AND THE BEAST ::

You hurt me so bad.

 

 

เขาหลงทาง

 

หลงทางชนิดที่ว่าไม่รู้แม้กระทั่งจุดที่ยืนอยู่นั้นคือส่วนไหนของปราสาท ฮิจิคาตะกำหูถาดแน่นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติและคิดว่าจะเริ่มต้นเดินใหม่อีกครั้ง เสียงหยดน้ำดังจากที่ไกลๆและเด็กหนุ่มตั้งใจว่าจะตามเสียงนั้นไปเผื่อว่าปลายทางนั้นจะเป็นลานน้ำพุหรืออะไรสักอย่างที่เป็นลานกว้าง ยังไงก็ได้ที่ขอให้หลุดจากตรงนี้ เพราะที่นี่คือสถานที่สำหรับพักดวงวิญญาณเชียวนะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นวิญญาณเช่นกันแต่ก็ยังคงกลัวอยู่ดี

 

ยิ่งเดินไปก็ยิ่งหลงและยิ่งมีโคมไฟคอยให้แสงสว่างระหว่างทางลดลง ทางเดินโทนสีเทายิ่งดูลึกลับเมื่อไม่มีแสงสว่างที่เพียงพอ เด็กหนุ่มเห็นเงาตัวเองทอดยาวกว่าปกติ หน้าต่างสักบานบริเวณนี้ก็ไม่มีแต่กลับรู้สึกลมเย็นพัดผ่านอยู่เนื่องๆ เด็กหนุ่มรู้สึกกลัวจับใจขึ้นมา

 

ขนาดตายแล้วยังเดินทางผิด จู่ๆคำพูดของชิโรยาฉะก็ผุดขึ้นมาในหัว เด็กหนุ่มเริ่มเห็นด้วยกับประโยคเหล่านั้นเอาเสียแล้ว เกรงว่าดวงวิญญาณของเขาคงจะหลงอยู่ในปราสาทแห่งนี้และไม่มีวันได้เข้ารับการพิพากษาแน่ๆ เขาคงจะยังมีความรู้สึกต่อไป เขาคงจะยังคงมีความทรงจำที่เลวร้ายวนเวียนหลอกหลอนต่อไป

 

เสียงรองเท้ากระทบพื้นอย่างเป็นจังหวะดังมาจากข้างหลังยิ่งทำให้เด็กหนุ่มสติแตกห่อไหล่เข้าหากันตัวสั่นเทาอย่างน่าสงสาร

 

“มาทำอะไรถึงที่นี่?” เสียงอันคุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มรีบหันตามไป ร่างที่ยืนอยู่ระหว่างแยกโถงทางเดินมองมาที่เขาอย่างสงสัยและกำลังดึงแขนเสื้อที่พองๆนั่นลงปิดรอยสักที่เขาลงความเห็นว่ามันขยับได้ให้เห็นได้จากปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย ฮิจิคาตะรีบสาวเท้าเข้าไปหาอย่างลืมตัวว่าตนเองกลัวอสูรตนนี้มากเพียงใดแล้วยื่นถาดอาหารที่เริ่มเย็นชืดไปข้างหน้า

 

“แม่บ้านให้ผมเอาอาหารมาให้ท่าน แต่แล้วผมก็หลงทาง…” ฮิจิคาตะเบือนหน้าหนีทำให้ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มขบขันของอสูรหนุ่มเมื่อมองเห็นรอยริ้วสีอ่อนพาดผ่านแก้มของเด็กหนุ่ม

 

“ตามข้ามาสิ” แล้วก็หันหลังเดินกลับทางที่เดินมา ฮิจิคาตะรีบก้าวไปข้างๆร่างสูงของอสูรแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง ลืมเรื่องที่ตนหลงทางไปเสียสนิท

 

“แล้วจะให้ผมถือไปถึงไหนกัน ถ้าที่นี่คือโรงแรมผมก็ต้องเป็นแขกไม่ใช่เหรอ? “ เขาเลี้ยวที่มุมหนึ่งตามอสูร “จะมาใช้แขกอย่างนี้ไม่ได้นะครับ”

 

ชิโรยาฉะกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายระหว่างนั้นก็ฟังเสียงบ่นอิดออดของเด็กหนุ่มไปตลอดทางแล้วเริ่มบ่นกับตัวเองในใจว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่รับวิญญาณมนุษย์โลกพูดมากให้มาพักที่ปราสาทของตน ความเงียบสงบสุขที่เขาต้องการพังลงไปในพริบตา

 

จนกระทั่งที่มาถึงหน้าประตูบานใหญ่นั่นแหละเด็กหนุ่มถึงได้หยุดพูดแล้วยืนข้างหลังอสูรอย่างรอคอยในขณะที่มือใหญ่คู่นั้นผลักประตูออกไป เด็กหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงภายนอก ระเบียงหินอ่อนที่โค้งเข้าตัวปราสาทเป็นสิ่งแรกที่เขาเห็น โต๊ะหินอ่อนทรงกลมที่มีขาตรงกลางเป็นทรงกระบอกรองรับให้มันตั้งบนพื้นอยู่ข้างเก้าอี้โยกสีขาวดูนั่งสบาย ไล่สายตาออกนอกระเบียงไปก็เป็นวิวเดียวกันกับที่เขาเห็นที่ห้องนอนก่อนหน้านี้ ต่างกันที่ใบไม้หลากสีที่เขาเห็นนั่นหลายเป็นสีเขียวขจีดูสดชื่นแทน

 

ฮิจิคาตะก้าวเข้าไปวางถาดไว้ที่โต๊ะหินอ่อนทรงกลมนั้น แล้วเดินไปนั่งที่ระเบียงหินอ่อนทอดสายตาออกไปไกล จ้าวอสูรเดินมานั่งเก้าอี้โยกของตนโดยที่ยังเปิดประตูทิ้งไว้เป็นการเปิดทางเดินลมให้พัดได้ตลอดแล้วหยิบหนังสือเล่มหนาที่อ่านค้างไว้บนโต๊ะเปิดเพื่ออ่านต่อ

 

ความเงียบดำเนินไปเรื่อยๆและไร้ซึ่งคำพูดใดๆออกจากปากทั้งสองฝ่าย เด็กหนุ่มยังคงทอดสายตาออกไปไกลมีบางครั้งที่เหลือบมามองอสูรหนุ่มที่อ่านหนังสือโดยที่ไม่ได้แตะอาหารในถาดแม้แต่น้อยเป็นครั้งคราวและมักจะเกิดคำถามทุกครั้งที่มองแต่เด็กหนุ่มไม่กล้าถามออกไปเพราะกลัวจะทำลายสมาธิของอีกฝ่ายที่มีต่อหนังสือ

 

จนกระทั่งที่คำถามมันมีมากเกินไปในหัวของเด็กหนุ่มนั่นแหละทำให้เขาเริ่มที่จะทนไม่ไหวแถมเขาก็เป็นเด็กสอดรู้สอดเห็นเสียด้วยสิ

 

“ตอนนี้มันฤดูอะไรเหรอครับ” เด็กหนุ่มเม้มปากอย่างรอคอยคำตอบ อสูรหนุ่มเหลือบตามองเขานิดหน่อยแล้วกลับลงมาที่หนังสือต่อ ฮิจิคาตะเห็นอาการเฉยเมยเหล่านั้นก็ยิ่งรู้สึกท้าทายทำให้อยากพูดเข้าไปอีก เด็กหนุ่มพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างอารมณ์ดีถึงแม้ว่าอสูรหนุ่มจะไม่โต้ตอบเขาเลยสักคำถามเดียวก็ตาม

 

“เอ ว่าแต่แม่บ้านผมส้มกับพ่อหนุ่มใส่แว่นสองคนนั้นชื่ออะไรเหรอครับ พวกเขาไม่ยอมบอกชื่อผมเลย” เมื่อรออยู่สักพักไม่มีคำตอบใดๆตอบกลับมาจึงเลือกที่จะหันไปสนใจวิวนอกระเบียงและเลือกที่หยุดถามนู่นถามนี่เพราะเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกคอแห้งขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

 

“คางุระกับชินปาจิ” เด็กหนุ่มหันไปตามเสียง เห็นอสูรหนุ่มปิดหนังสือวางไว้ที่เดิมแล้วหยิบเครื่องดื่มไว้ในมือกำลังเดินมาหาเขา “รู้ชื่อได้แต่อย่าไปเผลอเรียกเชียวล่ะ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ฮิจิคาตะรับเครื่องดื่มที่ถูกส่งมาให้ อสูรหนุ่มนั่งไม่ห่างจากเขาสักเท่าไหร่

 

“จะพยายามไม่เรียกแล้วกันครับ” แต่ก็รู้แล้วจะห้ามตัวเองไหวเหรอ? เด็กหนุ่มคิดในขณะที่ดื่มน้ำ ดวงตาสีโกเมนจับจ้องมาที่เขานิ่ง

 

“ที่นี่ไม่มีฤดูหรอก” แล้วโกเมนคู่นั้นก็เบนไปสนใจเทือกเขาน้ำแข็งที่อยู่ไกลลิบนั่นแทน “มันเปลี่ยนแปลงตัวมันเองได้ตลอด เผลอๆวันหนึ่งอาจจะมีถึงห้าฤดูก็ยังได้” ฮิจิคาตะมองใบหน้าด้านข้างของอสูรและทันได้เห็นดวงตาสงบนิ่งที่เจือปนไปด้วยความเศร้าบางอย่างเอาไว้ เขามองเห็นรอยสักอักษรที่โผล่พ้นปกคอเสื้อลากยาวไปจนถึงสันกรามอยู่ห้าถึงหกเส้น เส้นหนึ่งลากผ่านจากต้นคอด้านข้างเข้าไปในกลุ่มผมสีขาว โชคดีที่ตัวอักษรเหล่านั้นไม่ได้ขยับไปมาอย่างที่เห็นในตอนแรก เด็กหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่าการที่เขาทั้งสองของจ้าวอสูรไม่เท่ากันนั้นเป็นเพราะข้างหนึ่งสั้นกว่าครึ่งและรอยนั้นเรียบเนียนเกินกว่าการหักเองโดยธรรมชาติ ฮิจิคาตะเคยได้ยินมาว่าเวลาที่สัตว์ถูกตัดเขามันจะทรมานปานตาย มือสวยยื่นออกไปหมายจะปลอบประโลม

 

“เจ้ามองข้านานไปแล้ว” อสูรหนุ่มหันมาเด็กหนุ่มต้องรีบเก็บมือของตนเหมือนเด็กหนีความผิด  ตาคมมองใบหน้าห่วงใยของเด็กหนุ่มแล้วพูดออกมาอย่างรู้ทันความคิดและการกระทำทั้งหมด “ถ้าคิดว่าข้าจะเจ็บ ใช่ข้าเจ็บมากเลยล่ะ และทางที่ดีอย่างแตะตัวข้าเลยจะดีกว่า”

 

“เพราะข้าจะเจ็บมาก” น้ำเสียงเศร้าสอยทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกวูบ ทำไมถึงได้รู้สึกห่างไกลจากสายตาโกเมนคู่นั้นนักนะทั้งที่อยู่ใกล้กันเพียงแค่เอื้อม แผ่นหลังกว้างของอสูรหนุ่มยามเดินห่างออกไปช่างดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความแตกสลายบางอย่างที่โรยตัวในอากาศโดยรอบ ใบไม้ร่วงจากต้นอย่างเงียบเชียบลงบนผืนน้ำที่ไม่ไหวติง เมฆสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มขึ้นเรื่อยๆอย่างหดหู่และเงาจากเบื้องบนทอดลงมาปกคลุมผืนป้าที่เขียวขจีให้กลายเป็นสีหม่นแล้วกลั่นเป็นหยดฝนลงมา ไร้ซึ่งเสียงใดๆอย่างที่ฝนทั่วไปจะเป็น สายลมที่มักจะพัดผ่านตลอดเวลาที่นั่งทอดกายอันตธานหายไปราวกับจะไม่พัดอีกต่อไปแล้ว รอบตัวเงียบสนิทไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของตัวเองจนเด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดและไม่สบายเนื้อตัว

*

*

*

 

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปที่หลังเทือกเขาน้ำแข็งที่อยู่ไกลๆนั่นพร้อมกับดวงจันทร์กำลังโผล่พ้นจากยอดเขาในฝั่งตรงกันข้ามและความมืดกำลังกลืนกินแสงสุดท้ายของวันนำพาเอากลุ่มดาวขึ้นมาแทนที่กลุ่มเมฆฝน อากาศเย็นๆกระทบเนื้อหนังของร่างกายที่ตายไปแล้วแต่ยังคงความรู้สึกอย่างคราเป็นมนุษย์เอาไว้เพราะดวงวิญญาณยังไปไม่ถึงจุดพิพากษา เด็กหนุ่มขลุกตัวอยู่ในห้องนอนตั้งแต่สิ้นสุดมื้อค่ำ แน่นอนว่าในห้องโถงกว้างใหญ่นั้นมีเพียงฮิจิคาตะนั่งทานอาหารคนเดียวโดยมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสิบเอ็ดตัวรายล้อม เจ้าของปราสาทอย่างชิโรยาฉะก็ไม่ลงมาร่วมมื้อค่ำและยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องนอนที่อยู่ฝั่งซ้ายของบันไดปราสาท

 

เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงเตียงนอนปล่อยให้แผ่นหลังสู้แสงจากโคมไฟในห้องแล้วหันใบหน้าไปด้านข้างให้แก้มได้สัมผัสกับความนุ่มของเตียงจ้องมองฝ่ามือตัวเองนิ่ง

 

“เมื่อไหร่ยมทูตจะมารับสักทีนะ…” ฮิจิคาตะพูดอย่างเหม่อลอย ในทุกวินาทีที่ผ่านไปเขาได้เฝ้าแต่ภาวนาให้ยมฑูตผู้นำพามารับไปที่จุดพิพากษาให้จบๆไปเสียที เขาเบื่อเต็มทนกับความรู้สึกอันหลากหลายแบบมนุษย์ เขาไม่อยากรู้สึกอะไรอีกต่อไปอีกแล้ว

 

เขาไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อนั่งทานอาหารโดยมีเก้าอี้อันว่างเปล่าเป็นเพื่อน เขาไม่อยากรู้สึกว่ายังมีตัวตนอยู่ ไม่อยากมีอารมณ์เห็นใจหรือไม่อยากมีความคิด เขาไม่อยากรู้สึกหนักอึ้งหัวใจเวลาเห็นสายตาอันโศกเศร้าของเจ้าของปราสาทอย่างชิโรยาฉะที่ทอดสายตาออกไปไกลเหมือนกับมองไปยังอีกโลกที่เขาไม่สามารถเข้าถึง

 

                ทำไมถึงได้มีดวงตาที่เศร้าได้ขนาดนั้นนะ ทั้งที่คุณก็มีปราสาทหลังใหญ่ให้อยู่ มีพื้นที่สวยๆให้ได้เดินมีวิวสวยๆให้ได้มอง แถมยังมีข้ารับใช้ซื่อสัตย์คอยบริการตลอดเวลา อะไรกันนะที่ทำให้คุณเศร้าได้ขนาดนั้น

 

                ทำไมต้องมองมาที่ผมเหมือนกับผมทำให้คุณเจ็บเจียดตายอย่างนั้นล่ะ?

 

               ไม่เข้าใจเลยสักนิด

 

เสียงเคาะประตูสามครั้งดึงสติที่ล่องลอยของเด็กหนุ่มให้กลับมาเขาตอบอนุญาตทั้งที่ยังนอนแปะอยู่อย่างนั้น คนที่เดินเข้ามาเป็นหญิงสาวผมส้มคนเดิมที่เขามักจะพูดคุยด้วยเมื่อเจอหล่อน เธอเดินเข้ามาวางนมอุ่นไว้ที่โต๊ะตัวเล็กข้างเตียงนอนฮิจิคาตะจึงได้ยันกายขึ้นมานั่งมองตาปริบ

 

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มบอกไปอย่างสุภาพ รอยยิ้มบางๆถูกส่งกลับมาให้ก่อนที่หล่อนจะหันหลังจากห้องไป

 

“เดี๋ยวก่อนครับ” ฮิจิคาตะร้องเรียกให้หยุดและเมื่อจะเรียกชื่ออีกฝ่ายก็จำต้องกลืนคำพูดทั้งหมดเมื่อนึกถึงคำเตือนของอสูรหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยถามออกไปเสียงเบา

 

“อะไรทำให้ดวงตาของชิโรยาฉะเศร้าได้ขนาดนั้นกันครับ?”

 

“เติมคำว่าท่านลงไปด้วยจะดีกว่านะเจ้าคะ” ถึงแม้รูปแบบประโยคจะค่อนไปทางไม่ค่อยพอใจแต่กลับมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้มของหญิงสาว เธอค่อยๆปิดประตูทางด้านหลังเงียบๆแล้วก้าวไปที่เตียงของเด็กหนุ่ม

 

“นั่งตรงนี้ได้หรือเปล่าคะ?”

 

“เชิญครับ” เด็กหนุ่มขยับตัวเพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างบนเตียงให้แก่หญิงสาว เตียงยุบลงเล็กน้อยเมื่อเธอนั่ง ลูกแก้วสีน้ำเงินเข้มสบเข้ากับดวงตาของเขาทำให้รู้สึกประหม่าขึ้นมาจนต้องเบนตาออกไปสนใจแก้วนมในมือแทน หญิงสาวยกยิ้มอย่างนึกเอ็นดู

 

“ดวงวิญญาณเด็กหนุ่มช่างไร้เดียงสาจังเลยนะคะ” หญิงสาวลูบผมเขาเบาๆ “แต่ก็เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสงสารอะไรได้ขนาดนี้”

 

ฮิจิคาตะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมา เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยได้รับสัมผัสอ่อนโยนแบบนี้เอียงหาเข้าหามือนุ่มนิ่มนั้นอย่างเรียกร้อง ผ่านไปสักพักเจ้าของมือก็ผละออกไปทำให้ความอบอุ่นนั้นหายไปในพริบตา เขาได้แต่มองมือของหญิงสาวด้วยความเสียดาย

 

“คุณฮิจิคาตะเชื่อเรื่องโลกคู่ขนานหรือเปล่าคะ?” เด็กหนุ่มพยักหน้าเพราะเขาเชื่ออย่างสุดตัว ยืดหลังเล็กน้อยอย่างตั้งใจฟัง หญิงสาวพูดต่อ “แล้วรู้หรือเปล่าคะว่าเมื่อไปถึงจุดพิพากษาจะต้องเจอกับอะไร?”

 

“ไม่ครับ”

 

“เกิดใหม่หรือดับสลายตลอดกาล”

 

ใบหน้าของหญิงสาวอ่อนลง และทุกครั้งที่เธอพูดจะมีรอยยิ้มประดับชวนมองทุกครั้งไม่เว้นแม้ตอนที่พูดคำว่าดับสลายตลอดกาล เธอเบนความสนใจไปที่ไฟในเตาผิง “ถ้าคุณฮิจิคาตะเชื่อเรื่องโลกคู่ขนานดิฉันจะบอกว่าคุณคิดถูกแล้วล่ะค่ะ ทุกครั้งที่มนุษย์เลือกทางเดินใดๆเส้นทางที่ไม่ถูกเลือกจะงอกออกมาเป็นอีกโลกคู่ขนานกันไปเรื่อยๆอย่างไม่มีสิ้นสุดจนกว่าตัวตนในโลกคู่ขนานนั้นๆจะตายไปถึงจะเป็นการหยุดโลกนั้น” หญิงสาวเห็นใบหน้ามึนงงของเด็กหนุ่มจึงอธิบายใหม่อีกครั้ง

 

“มนุษย์มักจะมีความคิดว่าถ้าตนเลือกอีกทางเดินหนึ่งจะเป็นอย่างไร เหมือนกับการยืนตรงทางสามแยก ถ้าเลือกที่จะตรงไปก็จะเกิดตัวตนใหม่ขึ้นมาในทางที่เหลือและดำเนินเหตุการณ์ตามแบบที่มันจะเป็นไปเรื่อยๆจนกว่าจะตายและเหลือเพียงหนึ่งเส้นทางยามแก่เฒ่าเป็นทางสุดท้ายให้ดำเนินชีวิตเป็นทางตรงจนถึงจุดที่เรียกว่าวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างแท้จริง”

 

เด็กหนุ่มเก็บถ้อยคำทั้งหมดและประมวลผลอย่างรวดเร็ว คำว่าโลกคู่ขนานไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดมาโดยตลอดซ้ำความหมายของมันยังยากที่จะเข้าใจได้เร็ว ฮิจิคาตะดื่มนมจนเหลือครึ่งแก้วแล้วตั้งใจฟังต่อ

 

“มนุษย์ชอบคิดว่าพวกเราหรือพระเจ้าเป็นคนบงการเส้นทางชีวิตพวกเขา แต่เปล่าเลย พวกเราไม่ได้มีความสามารถมากมายขนาดที่จะบังคับจิตใจของมนุษย์ได้ พวกเราไม่ได้แข็งแกร่งอย่างสิ่งที่เรียกว่ากิเลสที่สามารถควบคุมจิตใจของมนุษย์ได้ และเพราะทางเดินกับตัวตนของมนุษย์นั้นมีมากจนเกินไปเราถึงต้องมีผู้กระซิบถ้อยคำคอยชี้ทางให้แก่มนุษย์ที่อับจนหนทาง” หญิงสาวมองฮิจิคาตะนิ่งก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง “พร้อมจะรับรู้ความลับของนายท่านหรือยังคะ?” เด็กหนุ่มวางแก้วนมไว้ที่เดิมแล้วเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิยืดจนสุดตัวเป็นการบอกว่าเขาพร้อม

 

“ครั้งหนึ่งที่ดวงวิญญาณโลกขนานหนึ่งของคุณฮิจิคาตะพลัดหลงมา ณ ที่แห่งนี้”

 

“ให้เดาว่าผมเอามือจุ่มแม่น้ำยมโลกใช่ไหมครับ”

 

หญิงสาวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เป็นคนที่กระตือรือร้นและอยากรู้อยู่ตลอดเวลาเลยนะคะ แต่ครั้งนั้นเป็นดวงวิญญาณที่โตเป็นหนุ่มกว่านี้ มีการงานมั่นคง เป็นถึงนายตำรวจยศสูงเลยล่ะ” ฮิจิคาตะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าอีกทางเดินสายหนึ่งของตนเองนั้นเป็นคนที่ประสบความสำเร็จจากความฝันในวัยเยาว์นั่นทำให้เขากระตือรือร้นที่จะฟังเรื่องราวต่อจากนี้ ตาสีสวยเบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างรอคอยทำให้คนมองรู้สึกเอ็นดูและสงสาร สงสารที่ดวงวิญญาณของเด็กหนุ่มนั้นมีเส้นทางตรงสู่วาระสุดท้ายของชีวิตสั้นกว่าดวงวิญญาณทั่วไป หญิงสาวกอบกุมใบหน้าแสนเยาว์วัยของเด็กหนุ่มเบาๆแล้วมองลึกเข้าไปในดวงตา

 

“และใบหน้าของคุณฮิจิคาตะก็ทำให้หัวใจของอสูรเต้นแรงอีกครั้ง ดิฉันอยู่กับท่านชิโรยาฉะมานานยังไม่เคยเห็นใบหน้าครั้งไหนของเขามีความสุขได้เท่าเวลาที่อยู่กับคุณฮิจิคาตะในตอนนั้นเลยสักครั้งเดียว” เธอผละออกไปทั้งที่ยังมีรอยยิ้มบางๆประดับบนหน้า ฮิจิคาตะตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่ตีกันไปมา หลายข้อสงสัยดูเหมือนจะค่อยๆคลายลง เขากำลังจะเอ่ยขอให้เล่าต่อแต่เสียงเปิดประตูก็ดึงความสนใจของเขาเสียก่อน

 

“ได้เวลาเข้านอนแล้วทำไมเจ้าถึง…” ดูเหมือนว่าจะยังไม่ทันจบประโยคก็ดันเห็นร่างของหญิงสาวนั่งอยู่บนเตียงเคียงข้างกัน จ้าวอสูรเปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งตึง หรี่ตามองอย่างไม่ไว้วางใจ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่คางุระ? ไม่ใช่ว่าฮิจิคาตะเผลอเรียกชื่อแล้วเจ้าจะทำเขาตายอีกรอบหรอกนะ”

 

“ไม่ทำอย่างนั้นหรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปจากห้องไร้ซึ่งคำโต้แย้งใดๆตอบกลับสายตาระวังภัยคู่นั้น ความเงียบเกิดในห้องพร้อมกับความคิดหลายๆอย่างเด็กหนุ่ม เขามองใบหน้าที่กำลังหันมานั่น มันเรียบเฉยจนเย็นชาดวงตาสีโกเมนคู่นั้นต่อให้พยายามควบคุมให้นิ่งเพียงใดก็ไม่สามารถปกปิดประกายความเศร้าและความเจ็บปวดที่มักเผยออกมาในช่วงเวลาที่เหม่อมองไปสักที่ที่ไกลแสนไกล

 

ในตอนนี้ก็เช่นกันตอนที่ดวงตาของจ้าวอสูรมองกลับมาที่ฮิจิคาตะ มันเหมือนมีความรู้สึกโหยหาบางอย่างถูกส่งกลับมา เป็นความโหยหาแบบเดียวกับที่เด็กหนุ่มพยายามวิ่งไขว่คว้าคราเป็นมนุษย์ สิ่งนั้นคือความสุขและความอบอุ่นที่เขาขาดหายไป

 

เนิ่นนานที่ถูกมองจนกลายเป็นฝ่ายจ้าวอสูรที่หันหนีสายตาสุกใสของคนบนเตียงแล้วหันหลังจากไป ประตูถูกปิดอย่างเงียบเชียบราวกับต้องการห้ามความรู้สึกของตนไว้เพื่อไม่ให้ทำอะไรบ้าๆลงไปอย่างเช่นการสวมกอดร่างของเด็กหนุ่ม

 

จ้าวอสูรหลับตาแนบหน้าผากและฝ่ามือทั้งสองข้างกับประตูบานนั้น ได้แต่ภาวนาขอให้ยมฑูตผู้นำพาอย่าพรากหัวใจไปจากเขาเร็ววันอีกเลย

 

 

 

TBC

 

Gintama Fiction

[GH] BEAUTY AND THE BEAST 2/?

GH

:: BEAUTY AND THE BEAST ::

First impression.

 

 

เขาตายแล้ว

 

ใช่ ฮิจิคาตะตายแล้ว หัวลงพื้นและผู้คนกรีดร้องขนาดนั้นถ้ายังไม่ตายสิมันน่าแปลก

 

แปลกจริงๆนั่นแหละ กลายเป็นว่าเขายังรู้สึกตัว ยังรู้สึกว่าหัวใจยังคงเต้นเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนจะหยุด ที่สำคัญความนุ่มของเตียงขนาดใหญ่ที่เด็กหนุ่มกำลังนอนอยู่กำลังทำให้ดวงตาจะปิดลงอีกครั้ง รู้สึกเพลียเป็นบ้า เนื้อตัวก็ปวดไปหมดอย่างกับไปโดนใครซ้อมมายังไงอย่างงั้นแหละ

 

โดนซ้อมเหรอ? ฮิจิคาตะยกยิ้ม ไม่ เขาไม่ได้โดนซ้อมอย่างเดียว เขายังโดนมากกว่านั้น แล้วทำไมตอนนี้เขายังไม่ตายล่ะ ทั้งๆที่ตั้งใจจะจบชีวิตจากมุมสูงของตึกแต่ทำไมเขายังถึงมานอนอยู่ในที่ไหนก็ไม่รู้ แถมบาดแผลตามร่างกายที่คิดว่ามันคงไม่หายง่ายๆก็ไม่มีหลงเหลือแม้เเต่รอยแผลเป็น เสื้อผ้าก็ใหม่และสะอาด หากแต่ความทรงจำที่วนเวียนอยู่ในหัวนั่นแหละที่มันสกปรกสุดๆ

 

เด็กหนุ่มไม่ขยับไปไหน เขานอนนิ่งปิดเปลือกตาหมายจะให้ร่างกายจมลงไปในเตียงเพราะไหนๆเขาก็ไม่ตายอยู่แล้ว นอนหลับเองไปตลอดกาลเลยก็ดีเหมือนกัน จนกระทั่งที่เสียงกุกกักคล้ายกับเสียงกลอนประตูดังขึ้นเด็กหนุ่มถึงรู้ตัวว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว

 

“ยังไม่ตื่นหรอกหรือ?” การใช้สำเนียงภาษาที่ค่อนข้างเก่าและเนื้อเสียงของมันฟังดูค่อนข้างมีอายุและทรงพลัง ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กหนุ่มเป็นตัวขับส่งให้เขายอมเปิดเปลือกตาและลุกขึ้นนั่งอย่างอ่อนแรง และอีกอย่างที่เขารับรู้เพิ่มเข้ามาเลยก็คือเขาไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนแห่งไหนเลย ซ้ำเตียงที่เขานอนอยู่ยังเป็นเตียงขนาดแปดฟุตที่นุ่มสบายปูด้วยผ้าปูสีฟ้าอ่อน แล้วเตียงที่นอนอยู่ยังมีเสาสีทองทั้งสี่ต้นที่มีผ้าม่านสีเดียวกันถูกผูกเก็บขึ้นไปโดยปล่อยให้สายรัดห้อยระโยงลงมา เสียงฟืนปะทุในเตาผิงสลักลวดลายสีขาวเรียกความสนใจของเด็กหนุ่ม เหนือเตาผิงไปเป็นรูปวาดสีน้ำมันโทนสีหม่นของสถานที่ที่เขาไม่รู้จักแต่ทว่ามันกลับดูสวยงามในกรอบทองคำแท้ ผนังห้องเป็นสีเดียวกับผ้าปูเตียงมีมีลายดอกกุหลาบสีทองเกี่ยวรัดกันไปมาอย่างสวยงามอยู่ทั่วทั้งห้อง เด็กหนุ่มเบนความสนใจไปที่หน้าต่างกว้างบานเดียวของห้องแล้วลุกขึ้นเดินเข้าหาอย่างเหม่อลอย

 

ความเย็นของพื้นขัดเงาส่งจากปลายเท้าเข้าหาร่างกายทันที่ที่ก้าวพ้นจากพรมผืนใหญ่เบื้องล่าง ลมเย็นของอากาศข้างนอกพัดผ่านเข้ามาทำให้เรือนผมสีงามนั้นกระจายเล็กน้อย จมูกโด่งสูดเอากลิ่นหอมของใบไม้ที่ล่องลอยมาเบาๆ ภาพเบื้องหน้าเป็นป่ากว้างสุดลูกหูลูกตากำลังพากันพลัดใบหลากหลายสีสันโดยมีแม่น้ำสายเดียวตัดแบ่งมันออกเป็นสองฝั่งยาวจนเขาไม่อาจตอบได้ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ใด ดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆสาดแสงสีอ่อนในยามเช้าอยู่หลังเทือกเขาน้ำแข็งที่อยู่ไกลลิบนั่น นกฝูงหนึ่งบินตัดผ่านพร้อมกับส่งเสียงสดใสกังวาน เด็กหนุ่มยกยิ้ม หรือนี่อาจจะเป็นโลกเบื้องหลังความตายที่เขาเคยได้ยินกัน

 

เสียงเดิมขัดจังหวะความคิดเด็กหนุ่ม

 

“ขอประทานโทษหากข้าจักรบกวนให้เจ้าหันมาสนใจข้าเสียหน่อยได้หรือไม่?” ฮิจิคาตะต้องใช้สมองในการทำความเข้าใจประโยคเหล่านั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปตามที่เสียงนั้นบอก เด็กหนุ่มมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่กลางห้องด้วยความประหลาดใจ

 

จะบอกว่ามนุษย์ก็ใช่ รูปร่างสูงใหญ่มีเเขนมีมือและยืนสองขาอย่างมนุษย์ทั่วไป หากแต่สิ่งที่แปลกออกไปคือมีเขาสัตว์สีเปลือกไม้เข้มขนาดใหญ่ตัดกับสีขาวของเรือนผมงอกออกมาจากบริเวณเหนือหน้าผากแล้วโค้งงอไปด้านหลังในองศาที่สวยงามเหมือนเขาของแพะภูเขาหนุ่มที่โตเต็มวัย หากแต่เขาคู่นั้นมีความยาวที่ไม่สมดุลกันเอาเสียเลย ตามผิวหนังทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยสักตัวอักษรแปลกประหลาดและน่ากลัว ตัวอักษรพวกนั้นดูเหมือนจะเรืองแสงอ่อนๆและขยับไปมาสร้างความขนลุกให้แก่เด็กหนุ่ม เขาพยายามที่จะไม่แสดงอาการพะอืดพะอมต่อหน้าดวงตาสีโกเมนที่เฉยชาคู่นั้น

 

“อาหารได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว อีกประเดี๋ยวจะมีนางรับใช้มาเปลี่ยนชุดให้เจ้า ขอให้จงรออยู่อย่างสงบและหากต้องการสิ่งใดให้สั่นกระดิ่งทองหน้าห้อง” ฮิจิคาตะไม่เข้าใจสิ่งที่คนแปลกหน้าพูดเอาเสียเลยในเมื่อคนพูดใช้ภาษาที่ยากเกินกว่าที่เด็กอย่างเขาจะเข้าใจ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ก่อนจะพูดออกไป

 

“ขอโทษนะครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณ เอ่อ ท่านพูดสักเท่าไหร่” เด็กหนุ่มช้อนตามองคนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่น “ท่านจะช่วยพูดแบบที่เข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยได้หรือเปล่าครับ?”

 

คนตรงหน้านิ่งไปจนทำให้ฮิจิคาตะใจเสียว่าไปทำให้โกรธเข้าแล้วหรือเปล่า เขาที่กำลังจะเอ่ยปากพูดด้วยคำโบราณที่มีอยู่น้อยนิดภายในหัวเพื่อสื่อสารกับคนตรงหน้าต้องหุบปากเงียบเพราะมือใหญ่ที่เหมือนกรงเล็บของคนตรงหน้ายื่นออกมาแล้วบีบที่ขมับทั้งสองข้างเบาๆ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงอีกคนพูดอะไรสักอย่างเป็นภาษาที่เขาไม่ทางเข้าใจได้ก่อนจะรู้สึกว่าสายเส้นหนึ่งในหัวกำลังถูกดึงออกไป และมือใหญ่นั้นก็ผละออก

 

“ท่านทำอะไรน่ะ!?” เด็กหนุ่มตกใจกับการกระทำเหล่านั้นถอยหลังห่างออกไปอีกก้าว เขาไม่ชอบให้ใครมาสัมผัสอะไรโดยที่ไม่ขออนุญาตเอาเสียเลย ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหวาดระแวง

 

“ภาษาของพวกมนุษย์ช่างน่าขบขันเสียจริง” มุมปากของชายตรงหน้ายกยิ้มขบขัน “ข้ามีชื่อว่าชิโรยาฉะ เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้าหรอกนะ ข้าไม่มีวันทำอะไรดวงวิญญาณพลัดหลงหรอก”

 

ฮิจิคาตะทวนคำว่าดวงวิญญาณ เขาตายแล้วจริงๆอย่างไม่ต้องนึกสงสัย เด็กหนุ่มคลายท่าทีระมัดระวังลงแล้วมองชิโรยาฉะด้วยสายตาคำถาม

 

“งั้นตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนล่ะ ทำไมถึงยังไม่ไปนรกสักที” เด็กหนุ่มเดินไปรอบๆห้อง “ผมตายแล้วจริงๆเหรอ? ทำไมผมยังรู้สึกว่าหัวใจยังเต้นอยู่ล่ะ? ร่างกายนี่อีก ทำไมถึงยังครบสามสิบสองล่ะ? คุณเป็นยมทูตใช่ไหม? พาผมไปส่งนรกให้จบๆไปซะทีสิ ผมไม่อยากรู้สึ—”

 

“พวกมนุษย์พูดมากกันทุกคนเลยหรือเปล่า?” ชิโรยาฉะขัดขึ้นอย่างรำคาญใจ วินาทีนี้เจ้าอสูรตระหนักได้แล้วว่าความเงียบสงบในปราสาทของเขากำลังจะถูกทำลายโดยดวงวิญญาณพลัดหลงตนนี้ “แม้แต่ตอนตายเจ้ายังเลือกผิดทาง เด็กน้อยช่างหลงระเริงกับแสงสีง่ายดายยิ่งนัก” เจ้าอสูรกลอกตาเบื่อหน่ายก่อนจะเล่าต่อ “ระหว่างที่ล่องแม่น้ำยมโลกเจ้ายื่นมือลงไปในแม่น้ำทำไมกัน ยมทูตผู้นำพาไม่ได้เตือนเจ้าหรอกเหรอ อีกอย่าง ข้าเป็นแค่อสูรรับใช้กาลเวลา ไม่มีความสามารถมากพอที่จะพาเจ้าไปส่งถึงจุดพิพากษาหรอก”

 

เด็กหนุ่มจำเหตุการณ์ที่ชิโรยาฉะเล่ามาไม่ได้เลยสักนิดเดียว ความทรงจำของเขามันสิ้นแค่เสียงกรีดร้องของผู้คนนั่นแหละ ฮิจิคาตะหยุดนั่งหน้าเตาผิง มองเปลวไฟที่ปะทุบนท่อนไม้อย่างเหม่อลอย

 

“แล้วทำไมผมยังรู้สึกล่ะ?”

 

ชิโรยาฉะมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม มันสั่นเทาทั้งที่นั่งอยู่หน้าเตาผิง “เพราะที่นี่ก็คล้ายๆกันกับโลกมนุษย์นั่นแหละ แต่ว่าที่นี่เป็นเพียงที่พักชั่วคราวของวิญญาณพลัดหลง เจ้าจะยังมีความรู้สึกเหมือนคราเป็นมนุษย์จนกว่าจะเข้ารับการพิพากษา อีกไม่นานนักหรอกที่ยมฑูตผู้นำพาจะมารับเจ้าไป”

 

“ประมาณกี่วันครับ”

 

“ตอบยาก ข้าไม่ค่อยเข้าใจพวกยมทูตนักหรอก” เจ้าอสูรเดินไปที่ประตูก่อนจะพูดเสียงเรียบ “เดี๋ยวแม่บ้านจะมาเปลี่ยนชุดให้แล้วรีบลงมาด้วยล่ะ ข้าไม่อยากให้กาลเวลาลงโทษข้าข้อหาปล่อยให้ดวงวิญญาณอดตายหรอกนะ” แล้วก็ตามด้วยเสียงปิดประตูทิ้งให้ฮิจิคาตะหงุดหงิดใจกับประโยคประชดประชันเหล่านั้น

 

*

*

*

 

ฮิจิคาตะมองแผ่นหลังเล็กๆของแม่บ้านผมส้มที่เดินนำหน้าเขาอยู่

 

ตอนนี้เด็กหนุ่มอยู่ที่ส่วนไหนของบ้านหลังนี้…ไม่สิ หลังจากที่ออกมาจากห้องตนเอง แล้วระยะทางกว่าจะถึงชั้นล่างที่ต้องเดินผ่านมุมนั้นมุมนี้ ประตูห้องที่เขาเดินผ่านเห็นทีว่าจะมีจำนวนเยอะเกินกว่าบ้านทั่วไป

 

คงจะเป็นปราสาท เด็กหนุ่มอนุมานในใจเงียบๆระหว่างนั้นแม่บ้านตัวเล็กก็หยุดที่ประตูบานใหญ่โตเกินความจำเป็นแล้วหันมาหาเขา ดวงตาสีฟ้าเข้มนั้นสดใสน่ามองยิ่งนักเมื่ออยู่บนใบหน้าที่มักจะยิ้มอย่างไร้เดียงสาอยู่ตลอดเวลา

 

“เปิดประตูนี้เข้าไปแล้วทำตัวตามสบายได้เลยนะเจ้าคะ” เด็กสาวตรงหน้าก้มหัวให้และเขาก็ทำเช่นนั้นตอบ ฮิจิคาตะยังคงสนใจแผ่นหลังของหญิงสาวมากกว่าประตูเบื้องหน้าจนกระทั่งหล่อนเดินลับไปที่มุมทางเดินที่ค่อนข้างไกลจากจุดนี้เด็กหนุ่มถึงได้เอื้อมมือไปผลักประตูบานใหญ่เบาๆ เสียงบานพับดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นการบอกว่ามันไม่ได้ถูกเปิดมานานแต่ทว่าฝุ่นไรที่ควรมีติดมือมานั้นมันไม่มีเลยแม้แต่เศษ เมื่อประตูถูกเปิดจนสุด สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาเด็กหนุ่มคือโต๊ะอาหารขนาดสิบสองคนนั่งอยู่กลางห้องโถงที่มีเชิงเทียนระย้าขนาดใหญ่กำลังอวดแสงเล็กๆของเปลวเทียนให้คริสตัลเม็ดน้อยใหญ่ภายใต้โครงระย้าต้องเเสงระยิบระยับดูสะดุดตา รอบๆห้องเต็มไปด้วยภาพวาดสีน้ำมันในกรอบทองขนาดเท่าๆกันแขวนในระยะห่างที่เหมาะสมอย่างสวยงามและดูสบายตาบนผนังสีขาวนวลที่ไร้ลวดลาย  เด็กหนุ่มลงความเห็นว่าความกว้างของห้องมันเกินความจำเป็นที่จะเป็นห้องอาหาร เขาก้าวเข้าไปเรื่อยๆบนพื้นสีน้ำตาลเข้มจนกระทั่งมาถึงโต๊ะอาหาร มือสวยลากสัมผัสกับไม้สักเงางามมองอาหารหลากชนิดที่วางอยู่ตรงหน้าพลันท้องก็ร้องประท้วงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

เด็กหนุ่มเลือกนั่งฝั่งขวาบนเก้าอี้ตัวที่คิดว่าน่าจะเป็นตรงกลางของโต๊ะ เขาลงมือจัดการกับอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เป็นรสชาติที่ครั้งมีชีวิตเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนและคิดว่าต่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงไม่มีทางที่จะได้กินอาหารที่ดี มีเตียงนอนนุ่มๆ มีคนให้คอยคุย หรือแม้กระทั่งมีบ้านให้อยู่ ฮิจิคาตะตื้นตันข้างในใจถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่นานก็จะต้องไปจากที่นี่เพื่อเข้ารับการพิกพากษาก่อนจะหายสาบสูญไปตลอดกกาล แต่ถึงกระนั้นแล้วเขาก็ยังรู้สึกขอบคุณการเอามือจุ่มลงไปในแม่น้ำยมโลกของตัวเองตามที่ชิโรยาฉะเล่าที่ทำให้เขาได้มีโอกาสสัมผัสกับสถานที่แห่งนี้

 

เมื่อนึกถึงอสูรตนนั้นก็พลันแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เด็กหนุ่มหยุดทานเมื่อรู้สึกอิ่ม เช็ดปากและยืนขึ้นหมายจะทำความสะอาดโต๊ะ

 

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวผมส้มคนเดิมยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่เปิดไว้พร้อมกับชายหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ข้างๆเดินเข้ามาหาเขา ชายหนุ่มที่สวมแว่นหยิบจานที่ว่างเปล่าในมือของเขาแล้ววางลงบนโต๊ะเหมือนเดิม หญิงสาวดันหลังฮิจิคาตะให้ถอยห่างด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับบอกว่าจะจัดการทำความสะอาดเอง

 

ฮิจิคาตะมองสองคนที่ช่วยกันทำความสะอาดโต๊ะอาหารและหมายจะเข้าไปช่วยแต่ก็โดนหญิงสาวผมส้มดุด้วยน้ำเสียงนิ่ง เด็กหนุ่มจำต้องยืนคอตกแล้วถอยจนชิดผนัง

 

ถาดบรรจุอาหารสามสี่อย่างพร้อมเครื่องดื่มถูกยื่นมาตรงหน้าของเด็กหนุ่มหลังจากที่ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขางงงวยมองหญิงสาวที่ถือถาดตรงหน้ายกคิ้วเป็นเชิงคำถาม ปากเล็กๆนั่นกำลังขยับ

 

“มีเรื่องเดียวที่คุณฮิจิคาตะทำได้คือเอาอาหารไปให้นายท่านค่ะ”

 

ฮิจิคาตะขมวดคิ้วไม่เข้าใจแต่ก็รับถาดมาถือไว้เอง “ทำไมเขาถึงไม่ลงมาทานเองล่ะครับ?”

 

“นายท่านคงเคยชินกับการทานคนเดียวละมั้งคะ” หญิงสาวตรงหน้ายิ้ม “แต่ว่านะ ตั้งแต่ที่คุณฮิจิคาตะกลับมา นายท่านก็ดูสดใสขึ้นเยอะเลย”

 

ฮิจิคาตะแปลกใจกับประโยคเหล่านั้น ที่บอกว่าเขากลับมามันมีความหมายว่าอะไรกัน ทำไมอสูรตนนั้นต้องมีท่าทางที่สดใสขึ้นด้วย หมายความว่าก่อนหน้านี้มันมีอะไรเกิดขึ้นเหรอ เพื่อคลายข้อสงสัยเด็กหนุ่มเลือกที่จะอ้าปากถามแต่จำต้องหุบลงเมื่อชายหนุ่มที่สวมแว่นเดินเข้ามากระซิบบางอย่างข้างหูของหญิงสาว หล่อนเบิกตาเล็กน้อยแต่ก็เก็บความตกใจเหล่านั้นไว้ได้ทันก่อนมันจะแสดงออกมาแล้วมองเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้มหัวให้เดินจากไปพร้อมชายหนุ่มสวมแว่น

 

“นี่เดี๋ยวก่อนสิ” ฮิจิคาตะร้องเรียก ทั้งคู่หยุดแล้วหันมามอง “อย่างน้อยก็บอกชื่อของพวกเธอหน่อยได้ไหม? รู้ชื่อของผมฝ่ายเดียวแบบนี้มันไม่แฟร์เลย”

 

ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วหญิงสาวผมส้มก็เป็นคนตอบเขา

 

“ชื่อของพวกเรามีเพียงผู้เป็นนายเท่านั้นที่จะเอื้อนเอ่ยได้เจ้าค่ะ” เธอยิ้มและเดินจากไป ปล่อยให้ฮิจิคาตะงุนงงกับประโยคดังกล่าว

 

“แค่ชื่อทำไมต้องหวงด้วยล่ะ” เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างขุ่นเคือง

 

 

TBC