TMR fiction

A Teller

Title : The maze runner; The death cure

Pairing : Minho x Newt #minewt

Note : รู้ว่ามันเจ็บก็ยังจะเขียนออกมา โฮรวววว

 

 

 

 

A TELLER

ให้ฉันได้เล่าเรื่องราวของเรา

 

 

 

 

 

“มีอะไรอยู่หลังวงกตหรือครับ?”

 

มินโฮระบายยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของเด็กชายผมดำ เขากวาดสายตามองใบหน้าของกลุ่มเด็กๆที่มักจะชอบมานั่งฟังเขาเล่าเรื่อง-เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้- ก่อนจะขยับผ้าคลุมตัวสีตุ่นให้มาข้างหน้ามากกว่าเดิม เป็นเวลาหลายปีที่เซฟเฮฟเว่น-สถานที่ที่เขาอพยพมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย จากเต้นท์หลังใหญ่ได้กลายเป็นบ้านหลังเล็กหลายๆหลังติดกัน พวกเรามีระบบสังคม มีการเลือกตั้งผู้นำ กฎเกณฑ์ต่างๆก็ได้ถูกบัญญัติขึ้นมา แน่นอนว่าชุมชนเล็กๆที่กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นชุมชนขนาดใหญ่แห่งนี้นั้นก็มีสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวอยู่ในบ้านเหล่านั้น

 

แล้วครอบครัวทั้งหลายก็เริ่มมีลูกหลานผู้สืบทอดออกมา ครอบครัวละคน สองคน เด็กน้อยรุ่นต่อไปจะได้ฟังเรื่องเล่าของพ่อแม่ตนเองทุกๆมื้ออาหารเย็น และในบางวันที่เด็กๆออกมาเล่นกันเป็นกลุ่มใหญ่ที่ลานกว้างเซฟเฮฟเว่น ถ้ามินโฮนั่งอยู่ตรงขอนไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแท่นหินสลักชื่อ เขาก็มักจะถูกคะยั้นคะยออย่างเจื้อยแจ้วให้มาเล่าเรื่องราวของตนให้ได้ฟัง

 

เพราะเด็กๆทุกคนรู้ว่ามินโฮเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีครอบครัว

 

ในสายตาของเด็กๆมินโฮจึงกลายเป็นคุณลุงนักเล่าเรื่องประจำชุมชนไปโดยปริยาย

 

“มีสัตว์ประหลาดที่พวกเราชาวทุ่งเรียกมันว่ากรีฟเวอร์” มินโฮค้อมตัวมาข้างหน้า กางสองมือเหมือนกรงเล็บ พร้อมกดเสียงให้ต่ำลง “ถ้าโดนมันต่อย ร่างกายของเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วเราจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ แฮ่!” เขาส่งเสียงแฮ่พร้อมพุ่งตัวลงไปแกล้งเด็กน้อยที่อยู่หน้าสุด แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจตอบกลับมา

 

“ลุงมินโฮเคยโดนมันต่อยไหมครับ” เด็กคนเดิมถาม มินโฮส่ายหน้า

 

“แต่ลุงโทมัสของพวกเธอเคยโดนมันต่อยนะ ไว้ว่างๆก็ไปขอให้ตาแก่นั่นเล่าเรื่องให้ฟังบ้างเถอะ” มินโฮลุกขึ้นกลับมานั่งที่ขอนไม้ รู้สึกหลังจะตึงขึ้นมานิดหน่อยจากการที่จู่ๆพุ่งลงไปเมื่อสักครู่ เขาบ่นปอดแปดเกี่ยวกับเรื่องกำลังวังชาที่เริ่มหายไปในวัยนี้ “ถามจริงๆนะพวกเธอ ทำไมถึงชอบฟังเรื่องราวของฉันกันนัก?”

 

แล้วเด็กๆที่อยู่ตรงหน้าก็แย่งกันพูดเหมือนนกกระจอกแตกรัง มินโฮกุมขมับ

 

“โอเคๆ ทีละคน” เด็กๆเริ่มหยุดพูดแล้วกลับมาสนใจเขา “เริ่มที่เธอก่อนเลย” เขาชี้ที่เด็กหญิงตัวเล็กข้างหน้า

 

“ลุงมินโฮเล่าเรื่องสนุกมากๆ” เธอชูสองมือประกอบ แล้วเด็กคนที่นั่งข้างๆก็พูดต่อทันที

 

“เพราะลุงมินโฮจะไม่ทำหน้าเศร้าเวลาเล่าเรื่อง”

 

“คุณแม่บอกว่าลุงมินโฮไม่มีครอบครัว”

 

“และพวกเราไม่อยากให้ลุงมินโฮเหงา”

 

แล้วก็อีกหลายๆคำตอบที่ค่อยซึมลงไปในหัวใจอย่างเชื่องช้า ความห่วงใยที่แสนไร้เดียงสาของเด็กๆทำให้ในอกมันตื้นขึ้นมา เขาระบายยิ้มจนโหนกแก้มดันให้ดวงตาโค้งตามแล้วเอ่ยคำขอบคุณ

 

“ลุงมินโฮไม่อยากมีครอบครัวบ้างเหรอฮับ”

 

มินโฮมองเท้าตัวเองราวกลับว่าคำตอบมันอยู่ตรงนั้นแล้วถูสองมืออย่างเหม่อลอย พูดเสียงเบาหวิว

 

“จะว่ายังไงดีล่ะ…”

 

 

.

.

.

 

 

เมื่อใดที่มินโฮหลับตา สีเขียวขจีของท้องทุ่งจะมาเป็นอันดับแรก

 

สิ่งต่อมาคือไอกลิ่นที่เขาจำได้พร้อมเสียงกิจวัตรต่างๆที่ถูกดำเนินไปข้างหน้าโดยชาวทุ่ง

 

เมื่อมองไปรอบๆจะเห็นนิวท์เดินไปทำงานตรงนู้นตรงนี้ตลอดทั้งวัน

 

แปลงข้าวโพดมักจะมีนิวท์คอยดูแล ทุกเช้าจะมีนิวท์คอยมาส่งก่อนจะวิ่งเข้าไปในวงกต และแน่นอนว่าภาพแรกที่เขาเห็นเมื่อออกมาจากวงกตก็คือนิวท์ที่ยืนรออยู่ที่เดิมอย่างกับว่าไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหนตั้งแต่เช้า นิวท์มองเขา และมินโฮก็มองนิวท์กลับ เพียงแค่นั้น พวกเราทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

 

รอยยิ้มของนิวท์เหมือนพระอาทิตย์ ซึ่งตอนนั้นมินโฮไม่สามารถจินตนาการได้ว่าพระอาทิตย์มันเป็นแบบไหน แค่รู้ว่าจู่ๆเจ้าคำๆนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งเมื่อมองรอยยิ้มนั้น จนกระทั่งในตอนนี้เขาได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าพระอาทิตย์แล้ว มันเจิดจ้าและอบอุ่นเหมือนรอยยิ้มของนิวท์จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นมินโฮอยากจะกุมมือที่เปื้อนดินของนิวท์เอาไว้แน่นๆในตอนที่ดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน

 

สามปีในท้องทุ่งกับนิวท์เป็นความทรงจำที่ล้ำค่ามากกว่าสิ่งใดบนโลกนี้

 

 

.

.

.

 

 

“เอาเป็นว่าฉันมีความลับ และแน่นอนว่าไม่เคยเล่าให้ใครฟัง” มินโฮนั่งตัวตรง สูดหายใจแล้วปล่อยทิ้งหนักๆ คลี่ยิ้มออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความสุข มันส่งให้เด็กๆที่นั่งรอฟังมีความสุขไปด้วย

 

“จริงๆแล้วฉันน่ะ มีครอบครัวตั้งแต่อยู่ในทุ่งแล้วล่ะ” ดวงตาของเด็กๆเป็นประกาย มินโฮเอ่ยต่อ “เขาชื่อนิวท์”

 

เด็กบางคนหันไปมองแท่นหินสลักชื่อที่อยู่ไม่ไกลจากหางตาเพราะตนจำได้ว่าชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาจากปากลุงมินโฮเป็นชื่อที่สลักไว้บนแท่นหินนั้น และพวกเด็กๆก็รู้อีกเช่นกันว่าแท่นหินสลักชื่อนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร

 

“และพวกเธอหลายคนก็น่าจะรู้แล้วนะว่าเขาไม่ได้มาถึงที่นี่พร้อมกับพวกเราคนอื่นๆ” ไหล่กว้างลู่ลงพร้อมกับหัวที่เอนไปข้างขวาแทบจะซบไหล่ตัวเอง มินโฮทอดสายตาออกไปไกล ไปยังที่ที่เรียกว่าท้องทุ่ง เขายังคงเห็นนิวท์ยืนอยู่ตรงนั้น ผมสีทรายของนิวท์ตัดกับสีเขียวขจีของทุ่งหญ้า ร่างผอมแห้งนั่นก้าวดุ่มๆมาทางเขา คิ้วขมวดและหัวเสียน่าดู

 

ปลวกเอ้ย! ยิ้มบ้าอะไรของนายคนเดียวน่ะ!’

 

มินโฮหัวเราะออกมา เด็กหลายคนขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

 

“ถึงเขาจะไม่อยู่ข้างฉันในตอนนี้” มินโฮจิ้มที่อกข้างซ้ายของตัวเอง “แต่เขาจะอยู่ในนี้กับฉันทุกๆวัน และตลอดไป”

 

ความเจ็บที่เริ่มเข้ามาเยือนจากออกแรงกดเป็นตัวยืนยันความหนักแน่นในคำพูดของมินโฮ ใบหน้ายังคงระบายยิ้มมีความสุขออกมา แต่ถ้าเป็นในสายตาของคนวัยเดียวกันเมื่อได้มาเห็นรอยยิ้มนี้ก็จะสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่แฝงตัวอยู่ในความสุขนั้น

 

รอยยิ้มที่มีปริมาณความเศร้ามากมายพอกันกับปริมาณความสุข

 

ความเงียบโรยตัวพร้อมกับพระอาทิตย์ดำดิ่งหายไปหลังทะเลแทบทั้งดวง แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดไปพร้อมกับคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นโดยคนหนุ่มที่ได้รับมอบหมายในวันนี้ เด็กๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้านเมื่อเรื่องเล่าของมินโฮจบลง เขาไม่เสียใจเลยที่ได้เล่าเรื่องของนิวท์ให้เด็กๆได้ฟัง ซ้ำพอได้เล่าออกไปแล้วก็ยิ่งตระหนักได้ว่าตนรักและคิดถึงนิวท์มากเพียงใด

 

มินโฮเดินไปที่แท่นหินสลักชื่อ มือใหญ่ลูบตัวตัวอักษรชื่อนิวท์อย่างแผ่วเบา ความเย็นเฉียบของแท่นหินเป็นสัมผัสแรกที่รู้สึก แต่น่าแปลกที่มันค่อยๆเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นกำลังส่งผ่านจากปลายนิ้วเข้ามาในหัวใจของเขา

 

มินโฮยิ้มออกมา ดวงตาเริ่มชื้น

 

“วันนี้ฉันได้เล่าเรื่องของเราให้พวกเด็กๆฟังด้วยละนิวท์”

 

เขาเว้นจังหวะ พูดต่อด้วยเสียงที่เริ่มสั่นเทา

 

“คิดถึงนายนะ”

 

.

 

.

 

.

 

 

คิดถึงนายเช่นกันมินโฮ’

 

 

.

 

 

.

 

.

 

 

 

END

 

 

 

 

 

 

กลายเป็นลูกเรือสายมาโซไปแล้วค่ะ เฮลป์ รู้ว่ามันเศร้าก็ยังจะไปหาอ่านหรือเขียน ไปขยี้ใตัวเองเศร้าไปกว่าเดิมอีก ร้องไห้ในโรงไม่พอ ยังกลับห้องมาร้องไห้อีก โฮววว