DC universe

[Wayleska] Call you mine

Call You Mine

#Wayleska

 

 

ผ้าม่านสีนวลปลิวสไวตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนบานใหญ่ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน กองหนังสือที่บางเล่มถูกเปิดทิ้งไว้อย่างรอคอยให้อ่านต่อนอนแผ่อยู่ที่พื้นอย่างระเกะระกะและผิดปกติไปจากนิสัยเจ้าระเบียบของเจ้าของห้องนอนอย่างบรูซ เวยน์ ซึ่งเจ้าตัวก็กำลังนอนหลับฝันดีอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่ เขาส่งเสียงเบาๆเมื่อคนที่นอนกอดจากด้านหลังขยับกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับซุกหัวเข้ากับต้นคอด้านหลังเขาเพื่อหลบแสงสว่างที่สาดเข้ามาในห้องนอน

 

 

เจเรไมห์ วาเลสก้า

 

 

เสียงนาฬิกายังเดินไปพร้อมกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของทั้งคู่ โดยปกติแล้วบรูซจะไม่ชอบการต้องตื่นแต่เช้า เขาจึงหลับสนิทโดยที่ไม่ได้สนใจว่าแสงแดดจะสว่างเข้ามาในห้องมันจะมากเพียงใดหรือจะโดนกอดจนอึดอัดแค่ไหนเขาก็แค่ขยับตัวหนีแสงสว่างรบกวนสายตาเหล่านั้นไปอีกทางแล้วเป็นฝ่ายกอดกลับจนคนที่นอนด้วยแทบจะจมหายไปในตัว

 

 

และการกระทำนั้นก็ทำให้เจเรไมห์รู้สึกตัวและตื่นลืมตา เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นสม่ำเสมอเช่นเดียวกับเสียงลมหายใจของบรูซ คนเด็กกว่าคงยังไม่รู้ตัวว่าเขาเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อเอาหูแนบกับหน้าอกใต้เสื้อสเวสเตอร์สีดำนั้นเพื่อฟังเสียงแสนเบาหวิวนั้น

 

 

กลายเป็นว่าเขาชอบฟังเสียงหัวใจของบรูซเข้าให้เสียแล้วหลังจากที่ได้นอนกอดอีกคนทั้งคืน มันทำให้อบอุ่น ปลอดภัย และเพราะกว่าเสียงเพลงใดๆที่เขาเคยได้ฟังมา

 

 

“ผมรู้ว่าคุณกำลังสียใจ เจเรไมห์ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากที่จะทิ้งคุณไว้คนเดียว”

 

 

ประโยคเดียวที่พังทลายกำแพงทั้งหมดระหว่างเขากับบรูซ เจเรไมห์โผเข้ากอดคนเด็กกว่าอย่างอ่อนแรง

 

 

อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่ต่างก็ผ่านการสูญเสียครั้งสำคัญกันมาแล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเข้าใจความรู้สึกอันน่าเศร้าที่แอบซ่อนอยู่ในใจของกันและกัน พวกเขาเปิดใจคุยกันในหลายๆเรื่องตั้งแต่มาถึงคฤหาสน์ เจเรไมห์ก็ตกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยเพราะการพูดเยอะไม่ใช่พื้นฐานนิสัยของเขา อัลเฟรดพ่อบ้านประจำตระกูลช่วยดูแลเขาเป็นอย่างดีในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกันเรื่องหนังสือภายในห้องนอนของบรูซ ทำให้เขาได้ค้นพบอีกอย่างว่าพวกเขาทั้งสองมีความชอบหลายอย่างที่เหมือนกัน

 

 

จนกระทั่งที่เวลาล่วงเลยไปจนดึกและเขารู้ตัวว่าควรกลับ

 

 

“ผมคิดว่าผมควรกลับได้แล้ว”

 

 

“มิสเตอร์เจเรไมห์” บรูซร้องเรียกทันทีที่เขาแตะกลอนประตูห้อง “เอ่อ ดึกขนาดนี้แล้ว จะค้างที่นี่ก็ได้นะครับ อัลเฟรดน่าจะจัดห้องนอนแขกไว้ให้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ”

 

 

เจเรไมห์ยิ้ม “ขอบคุณครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับบทสนทนาที่แสนวิเศษตลอดทั้งบ่ายจนถึงตอนนี้ด้วย”

 

 

“ด้วยความยินดีครับ” บรูซยิ้มแต่หลบสายตาราวกับซ่อนบางอย่างไว้ เจเรไมห์หยิบเสื้อโค้ทมาถือไว้หันหน้าเขาประตูส่วนมือก็จับกลอนประตูไว้นิ่ง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครขยับจากตำแหน่งเดิมเลยสักก้าวเดียว

 

 

มีอะไรบางอย่างทำให้เจเรไมห์หยุดนิ่งอยู่แบบนั้น อะไรบางอย่างที่อธิบายได้ยาก และอะไรบางอย่างที่ว่านั่นก็คืออะไรบางอย่างที่อยู่ระหว่างเขาและบรูซ เจเรไมห์สามารถสัมผัสมันได้แต่ไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้ เขารู้แค่ว่าต้องการอยู่ต่ออีกสักหน่อยเท่านั้นเอง

 

 

เจเรไมห์แค่ไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้ และเขาค่อนข้างแน่ใจว่าบรูซก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

 

 

“ผมคิดว่า..” เสียงบรูซใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “..ผมควรเดินไปส่งคุณที่ห้องนอนแขก”

 

 

เขาตัดสินใจทิ้งเสื้อโค้ทและหันกลับไป

 

 

แล้วเขาก็เป็นคนเริ่มจูบแรกนั้นเอง

 

 

ความรู้สึกเบาหวิวแสนหอมหวานจากริมฝีปากค่อยๆแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนรู้สึกจั๊กจี้ที่ปลายนิ้วที่กำลังอุ้มใบหน้าของคนเด็กกว่าไว้ เจเรไมห์เริ่มจะอธิบายอะไรบางอย่างนั้นได้ เริ่มจากความรู้สึกที่เหมือนถูกเหวี่ยงขึ้นไปจนจุดสูงสุดของท้องฟ้าแล้วสายลมเบาๆก็พัดเอาริ้วเมฆสีขาวปุยมากระทบร่างกาย มือที่โอบใบหน้านั้นเหมือนกับการยื่นมือออกไปจับสายลมริ้วเมฆให้ความอ่อนโยนนั้นไหลผ่านข้อนิ้วไปถึงหัวใจได้เต้นแรงขึ้นมา

 

 

แล้วเขาก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้านั่นอย่างรวดเร็วเมื่อคิดได้ว่าที่ทำอยู่ในตอนนี้มันไม่ถูกต้อง

 

 

“ขอโทษครับ” เจเรไมห์ถอยหลังไปพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น เขาทำผิดพลาดไปมหันต์ “ผมควรต้องกลับจริงๆ”

 

 

ใช่ เขาควรต้องกลับจริงๆ

 

 

แต่ทว่ากลับถูกดึงเอาไว้จากเจ้าของห้อง วินาทีถัดมาความนุ่มที่ยังไม่ทันหายจากริมฝีปากของเขาก็กลับมาทักทายเขาอีกรอบ

 

 

บรูซเป็นคนเริ่มจูบครั้งที่สอง

 

 

และพวกเราก็ไม่สามารถที่จะหยุดความรู้สึกที่เกิดขึ้นพร้อมรอยจูบได้อีกต่อไป

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

เจเรไมห์ไม่อยากทำให้บรูซตื่นตอนนี้จึงเลือกที่จะนอนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งที่บรูซเลิกกอดแล้วหันไปอีกทางแทนเขาจึงค่อยๆลุกนั่งให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรี่ตาลงแทบเป็นเส้นตรงเพราะความพร่าเบลอจากสายตาสั้นประกอบกับเพิ่งตื่นนอนทำให้ศักยภาพในการมองเห็นยิ่งแย่ลงไปอีก มือก็แปะป่ายไปทั่วหัวเตียงเพื่อหาแว่นตาของตนซึ่งเขาจำได้ว่าเขาวางมันไว้ตรงนั้นเมื่อคืนนี้

 

 

แล้วข้อมือก็ถูกจับไว้ จากนั้นแว่นตาก็ถูกวางลงมาในมือ เขาสวมแว่น

 

 

“ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตื่น” เจเรไมห์หมายความตามนั้นจากใจจริง เขามองอีกคนที่นอนตะแคงมาทางเขากำลังส่งยิ้มแป้นกับตาที่ยังไม่เบิกเต็มที่ ภาพนั้นทำให้เขาหลุดขำออกมาเบาๆ บรูซในด้านนี้เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน และคิดว่าอาจจะไม่มีโอกาสเห็นเลยก็ได้เพราะทุกครั้งที่เจอกันอีกฝ่ายจะชอบทำหน้าเครียดคิ้วขมวดเกินอายุจริงอยู่เสมอๆ พอมาเห็นยิ้มสดใสแบบนี้แล้วก็รู้สึกเอ็นดูปนหมั่นเขี้ยวในความหน้าซนนั่นไปพร้อมๆกัน

 

 

ผมฟูยุ่งเหยิงของบรูซทำให้เขาอยากลูบ ส่วนมือก็ได้ไวดั่งใจสั่ง ยื่นเข้าไปในกลุ่มผมนั้นพร้อมขย้ำเบาๆ เจ้าของทรงผมน่าจะชอบเพราะดูจากการที่ขยับหัวเข้าหาฝ่ามือของเขาพร้อมกับรอยยิ้มโค้งเต็มที่โดยที่ตายังหลับอยู่ พนันได้เลยว่าไม่เกินนาทีบรูซต้องหลับไปอีกรอบแน่ๆ เขากะว่าจะให้บรูซหลับไปอีกรอบเสียก่อนแล้วค่อยออกไปเอาอาหารเช้าเข้ามาให้

 

 

จนกระทั่งที่เสียงหายใจดังสม่ำเสมอ เขาจึงได้ถอนมือออกแล้วค่อยๆพาร่างกายลุกจากเตียงให้เบาที่สุด

 

 

แน่นอนว่าเขาถูกดึงข้อมือไว้อีกครั้ง

 

 

“จะไปไหนกันครับเจเรไมห์” บรูซงัวเงียถาม ตาเบิกขึ้นจากเดิมนิดหน่อย เขาเอียงคอ

 

 

“ไม่ใช่หลับไปอีกรอบแล้วเหรอครับมิสเตอร์บรูซ”

 

 

“ก็กำลังจะหลับแล้วครับ” บรูซย้อนกลับพร้อมยันตัวเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน “จนกระทั่งที่คุณเลิกเกาหัวนั่นแหละครับ ผมถึงตื่น…จะไปไหนกันครับ” ปลายคิ้วเข้มๆตกลงในขณะที่หัวคิ้วยกขึ้น เขาเหมือนเห็นลูกหมากำลังอ้อนอยู่ยังไงยังงั้น อดไม่ได้ที่จะทำเสียงขึ้นจมูก ยิ้มแล้วกัดริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมสั่นหัวไปมาอย่างยอมแพ้

 

 

“จะไปเอาข้าวเช้ามาให้ครับ…ทีนี้ก็ปล่อยมือผมได้หรือยังครับ? มิสเตอร์บรูซ”

 

 

บรูซส่ายหัวช้าๆสองทีก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วดึงเขาขึ้นไปบนเตียงด้วยอีกครั้ง

 

 

เจเรไมห์คร่อมคนบนเตียงไว้ มองใบหน้าทะเล้นนั้น ก่อนจะจูบเบาๆที่ระหว่างหัวคิ้ว บรูซหัวเราะคิกคัก

 

 

“บ่ายๆค่อยเข้าไปบริษัทพร้อมกันนะครับ”

 

 

“ผมว่าไม่ค่อยดีมั้งครับมิสเตอร์บรูซ”

 

 

“ดีครับ ผมกำลังต้องการเลขา” บรูซเลื่อนมือทั้งสองมากอดเอวของเขาไว้ให้ทิ้งน้ำหนักลงไปที่ตน “อีกอย่าง ยินดีที่ได้รู้จักครับ เรียกผมว่าบรูซ” แล้วตามด้วยจุ๊บเบาๆที่คางของเจเรไมห์

 

 

เขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะทันทีที่ความนุ่มสัมผัสที่ปลายคาง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก

 

 

“คุณหัวเราะบ่อยจังครับเช้านี้” บรูซชมเสียงพร่า

 

 

“ผมก็ยังไม่เห็นคุณหุบยิ้มเลยตั้งแต่ตื่นมา” ทั้งคู่กลั้นยิ้มแล้วมองตากันก่อนจะหัวเราะพรืดออกมา เจเรไมห์รู้ตัวว่าควรลุกออกจากตัวบรูซสักที “โอเค ผมควรไปเอาอาหารเช้ามาให้คุณจริงๆนะครับ” แต่มีหรือที่คนเด็กกว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ บรูซยังคงส่ายหัวทำหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่

 

 

“Give me a kiss.” บรูซยื่นข้อเสนอ

 

 

“With my pleasure.

 

 

เจเรไมห์เริ่มจูบคนแรกก่อนอีกครั้ง

 

 

Fin

 

 

เอาตรงๆว่าคู่นี้ไม่จำกัดโพใดๆเลยค่ะ แค่คู่กันก็อร่อยแล้ว กรุบกริบ

ฟิคเคาะสนิมมากๆ ภาษาแปลกเกินเยียวยาจริงๆ

DC universe

If you don’t mind

Pairing: Diana Prince x Steve Trevor (Chris Pine)

#Wondertrev

Note: ฟิคร่วมกิจกรรม #จะHeroไปไหน

Week3 ; ‘Walkin’ in a winter wonderland’

Keyword: Draft beer (เบียร์สด)

 

 

 

– IF YOU DON’T MIND –

 

 

 

เสียงเพลงประจำเทศกาลถูกบรรเลงโดยกลุ่มนักดนตรีการกุศล บนลานกว้างเต็มไปด้วยผู้คนและสีสันจากดวงไฟที่ประดับต้นคริสมาสต์หลากหลายขนาดและหลากหลายสีสัน

 

นักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงบทใหม่ในขณะที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจและเข้ามามุงดู หลายคู่รักกำลังแอบอิงซบไหล่กันพลางมองและฟังเสียงดนตรี พวกเขาส่งผ่านความอบอุ่นให้แก่กันด้วยการจับมือ รอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะ

 

ไดอาน่า พริ๊นซ์กระชับเสื้อโค้ทเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ร่างสูงสง่าเช่นเทพีก้าวไปข้างหน้าพลางมองภาพผู้คนบนลานกว้างด้วยรอยยิ้มอันบางเบา พอยิ่งดึกอุณหภูมิก็ยิ่งต่ำลงจึงทำให้ไม่อยากไปไหน แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่เทศกาลคริสมาสต์ทำให้หลายครอบครัวและหลายคู่รักเริ่มออกมาจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมงานฉลองเล็กๆภายในบ้าน หรือบางคู่รักและบางคนที่อยู่คนเดียวเฉกเช่นไดอาน่าในตอนนี้ก็เลือกที่จะออกมาชื่นชมสีสันของค่ำคืนเป็นกิจกรรมยามดึกแทนการนอนอยู่บ้านเฉยๆ

 

และมีกลุ่มคนที่ทนความเดียวดายของฤดูหนาวหรือความหวานชื่นจากเสียงหัวเราะของคู่รักไม่ได้จึงเลือกที่จะเดินเข้าบาร์ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลจากลานกว้าง ไดอาน่าเป็นหนึ่งในนั้นหากแต่เหตุผลของเธอไม่ใช่เพราะทนความเดียวดายไม่ได้ ไดอาน่าแค่ต้องการความรู้สึกแบบค่ำคืนสุดท้ายระหว่างเธอกับเขาเท่านั้น

 

สตีฟ เทรเวอร์

 

ไดอาน่าเหม่อมองฟองสีขาวบนเบียร์สดในแก้วที่ถูกจัดเสิร์ฟโดยพนักงานสาวที่อยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ เครื่องดื่มชนิดเดียวในค่ำคืนนั้นที่ช่วยบอกเล่าความสุขของเธอได้ทั้งหมด

 

มันถูกเสิร์ฟโดยแซมมี่-สายลับหนุ่มตัวเล็ก เธอและสตีฟนั่งเคียงข้างกันกำลังมองไปยังข้างในตัวร้านที่ชาร์ลี-สไนเปอร์มือพระกาฬ กำลังเล่นเปียโนหลังใหญ่และเริ่มขับขานบทเพลงในขณะที่ชาวบ้านเริ่มจับคู่เต้นรำท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ

 

เบียร์สดค่อยๆไหลผ่านลำคอเหลือไว้เพียงรสหวานละมุนติดที่ปลายลิ้น แต่ทว่ารสชาติของมันในค่ำคืนนี้เทียบไม่ได้เลยกับรสชาติของเบียร์สดในค่ำคืนที่มีสตีฟอยู่ข้างกาย

 

ไดอาน่าหลับตาลงช้าๆพร้อมกับนึกถึงลูกแก้วสีฟ้าสว่างดุจน้ำทะเลของเทอมิสกีร่าที่สะท้อนภาพของเธอเพียงคนเดียวในขณะที่เต้นรำ

 

เหตุผลในการเต้นรำของมนุษย์คือความใกล้ชิด

 

และความรู้สึกอื่นๆที่มากกว่านั้น

 

เสียงเพลงจากกลุ่มนักดนตรีนอกร้านไหลผ่านเข้ามาให้ได้ยินอยู่เนืองๆกับหญิงสาวที่ติดอยู่ในห้วงความทรงจำในบาร์เล็กๆท่ามกลางความหนาวของค่ำคืนก่อนวันคริสมาสต์ นิ้วเรียวเคาะพื้นผิวของเคาน์เตอร์ตามจังหวะเพลงด้านนอกพลางตั้งใจว่าอีกสักครู่จะออกไปซื้อของเพื่อฉลองคริสมาสต์คนเดียวเงียบๆ

 

“ขอบคุณนะคริสที่ยอมมาทำงานแทนฉันในคืนนี้”

 

“ไม่เป็นไรเจน ฉลองให้สนุกล่ะ”

 

ไดอาน่าขมวดคิ้ว เสียงที่แสนคุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกลจากเธอ แม้ว่าเสียงนั้นจะติดแหบกว่าเสียงของสตีฟเล็กน้อยแต่ทว่าโทนเสียงที่ใช้นั้นมันคือเสียงของสตีฟ เทรเวอร์ไม่ผิดเป็นแน่ ตาคู่สวยค่อยๆเปิดขึ้นพร้อมผินหน้าไปทางต้นเสียง

 

และหัวใจที่ครั้งหนึ่งเคยสงบไปก็เต้นแรงขึ้นมา เหมือนดั่งค่ำคืนนั้น

 

รอยยิ้มที่แสนคิดถึง สีผมที่แสนคุ้นเคย สีของดวงตาที่เธอตกหลุมรัก

 

“สตีฟ…” เธอเรียกเสียงเบาแต่ทว่าในบาร์ที่ผู้คนไม่มากเช่นนี้กลับได้ยินชัดเจน ชายหนุ่มที่เพิ่งมาเปลี่ยนกะทำงานแทนเพื่อนสาวหันไปตามเสียงเรียกอันแผ่วเบาและสั่นครือนั้น เมื่อพบว่าเป็นเสียงจากหญิงสาวที่มีความสวยงามสมบูรณ์แบบและกำลังมองมาทางตนก็เกิดอาการประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้า

 

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?” ชายหนุ่มถาม ไดอาน่าส่ายหัวช้าๆ

 

ในคราแรกไดอาน่าแทบจะกระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปสวมกอดอีกฝ่าย แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่ห่างไกลราวกับคนไม่รู้จักของชายหนุ่มเธอจึงเลือกที่จะเข้าหาโดยวิธีการเช่นมนุษย์ปกติทั่วไป

 

“ไดอาน่า พริ๊นซ์” เธอยื่นมือไปตรงหน้า ฝ่ายตรงข้ามดูมีท่าทีงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยื่นมือกลับมาเพื่อทักทายกลับ

 

“คริส…คริส ไพน์”

 

ไดอาน่ามองรอยยิ้มที่ฉายบางเบาอยู่บนในหน้าที่แสนคิดถึง ดวงตาสีฟ้าสว่างยังคงเป็นสีของมันเหมือนเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความอบอุ่นจากฝ่ามือที่เธอกอบกุมไว้เป็นเครื่องเตือนว่าทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดในความฝัน

 

ความดีใจและความสุขมีมากจนล้นปรี่ออกมาผ่านรอยยิ้มที่ค่อยๆคลี่ออกเป็นภาพช้าของหญิงสาว ทำให้คนที่มองอยู่อย่างคริสลืมหายใจไปชั่วขณะ

 

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ไดอาน่าจับมือของชายหนุ่มไว้ จนกระทั่งที่เสียงกระดิ่งประตูของร้านดังอีกครั้งเธอจึงรู้ตัวแล้วค่อยๆปล่อยมือจากชายหนุ่มอย่างนึกเสียดาย

 

แล้วความหนาวจับใจก็เข้ามาเยือน

 

เสียงกล่าวขอบคุณลูกค้าของคริสทำให้รู้ว่าเสียงกระดิ่งเมื่อสักครู่เป็นสัญญาณบอกการจากไปของลูกค้าในค่ำคืนนี้

 

ทีละคน สองคน จนกระทั่งหมดร้าน

 

เหลือเพียงไดอาน่าและชายหนุ่ม

 

เธอมองตามร่างที่กำลังเคลื่อนมาหาทางอีกฝั่งของเคาน์เตอร์

 

“ร้านจะปิดแล้วนะครับ”

 

“คุณจะช่วยเต้นรำกับฉันได้ไหม” ไดอาน่าโพล่งถามชายหนุ่มทันทีที่เขาพูดจบ ดวงตาสีฟ้าคู่งามฉายแววฉงนอย่างเห็นได้ชัดเจน คริสอ้ำอึ้งราวกับจะพูดอะไรสักอย่างแต่แล้วก็หุบปากลงแล้วเริ่มพูดอีกครั้ง

 

“ไม่ เอ่อ คือผมหมายถึง..” เขาขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ “ปกติฝ่ายชายต้องเป็นคนขอไม่ใช่หรือครับ”

 

หญิงสาวยกยิ้มบางเบา “ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

 

“โอ้ ไม่ใช่ ไม่เลย” คริสสั่นหัวรีบแก้ตัวเพื่อไม่ให้สาวงามตรงหน้าเข้าใจผิด ชายหนุ่มกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ใช่ว่าเขาจะเต้นรำไม่เป็นแต่ทว่าคู่เต้นรำในคืนนี้มันต่างออกไปเพราะเป็นหญิงสาวที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แถมยังพกความสวยมาเต็มขนาดนี้ จะไม่ให้เขาประหม่าได้อย่างไรกันเล่า

 

“แต่เราเพิ่งจะเคยเจอ…”

 

“ฉันไม่ถือ” ไดอาน่าตัดบทพร้อมยกยิ้ม ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เมื่อสาวเจ้ายืนกรานเช่นนี้แล้วจะให้เขาปฏิเสธคำขอนั้นก็ดูไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปหาหญิงสาวที่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ โค้งตัวเล็กน้อยแล้วยืนมืออันสั่นเทาเพราะความตื่นเต้นไปข้างหน้า

 

“ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะเต้นรำกับผม”

 

แล้วก็ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มงดงามของเทพีกับมือเรียวที่วางลงมาอย่างนิ่มนวล

 

คริสจับมือของหญิงสาวไว้หลวมๆก่อนจะพูดขึ้น

 

“อยู่ในร้านมันอาจจะไม่ได้ยินเสียงเพลง” แล้วเขาก็พาหญิงสาวออกไปยังลานกว้างที่นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงอย่างไพเราะหวานหู ท่ามกลางอากาศที่ค่อยๆลดต่ำลง ไดอาน่าแน่ใจว่าเธอรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าคู่รักใดๆ

 

อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มขอให้นักดนตรีเล่นเพลงที่เขาเอ่ยขอ ก่อนจะค่อยๆหันมาหาเธอ

 

“หวังว่าคุณจะไม่ขี้อาย”

 

ไดอาน่าไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างอีกต่อไป เพราะในตอนนี้สิ่งที่เธอสนใจนั้นเป็นเพียงลูกแก้วสีฟ้าที่กำลังสะท้อนภาพของเธอแต่เพียงผู้เดียว เธอจับไหล่ของชายหนุ่มในขณะที่มือข้างเดียวกันค่อยๆโอบรอบเอวของเธออย่างนิ่มนวล เสียงขออนุญาตจากชายหนุ่มทำให้เธอหัวเราะออกมา

 

บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปเมื่อคู่รักหลายๆคู่เริ่มโอบกอดเต้นรำกันอย่างเชื่องช้าไปตามทำนองเพลง

 

ไม่มีคำพูดใดๆจากปากไดอาน่าและคริสนอกจากหัวใจที่ตื้นตันด้วยความคิดถึงและหัวใจที่เต้นรัวด้วยความประหม่า

 

ไดอาน่าค่อยๆเขยิบเข้าหาชายหนุ่มก่อนจะวางศีรษะลงบนไหล่กว้างแสนรัก คริสไม่ได้ว่าอะไรถึงแม้จะตกใจอยู่เล็กน้อยก็ตามที กลิ่นน้ำหอมจากหญิงสาวที่เขาเผลอสูดดมไปคงจะติดอยู่ในหัวไปอีกนานจึงทำให้เขาเริ่มกลัวที่จะปล่อยให้เธอเดินจากไป

 

เส้นใยบางๆกำลังถักทออย่างอ้อยอิ่งในขณะที่ดนตรียังคงบรรเลงไป

 

เขากอดเธอไว้แน่นในขณะที่เธอกอดเขาไว้แน่นกว่าด้วยความคิดถึง

 

 

..

 

.

 

“หลังจากนี้คุณจะไปไหนต่อ” คริสเอ่ยถามในขณะที่กำลังเดินเคียงข้างหญิงสาวบนทางฟุตบาทที่เริ่มมีการตกแต่งให้เข้ากับเทศกาล ไดอาน่าพ่นลมหายใจสีขาวก่อนจะยกยิ้มแล้วตอบกลับโดยที่ยังคงมองออกไปข้างหน้า

 

“คงจะแวะซื้อของ แล้วก็เดินเล่นต่อสักพัก”

 

คริสมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว เขาไม่เข้าใจการกระทำทั้งหมดของเธอที่ทำเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน หรือไม่แน่เขากับเธออาจจะเคยเจอกันมาก่อนจริงๆ แต่เพียงว่าจำไม่ได้เท่านั้น

 

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆคริสก็ยินดีที่จะสร้างความทรงจำครั้งใหม่กับหญิงสาวอีกครั้ง แทนที่ความทรงจำเดิมที่เธอมี แม้จะไม่รู้ว่ามันคือความทรงจำรูปแบบใดก็ตาม

 

แค่รู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้เธอไปอีกครั้ง และรู้สึกว่าควรใช้เวลาร่วมกับเธอให้มากกว่านี้ แม้ว่าความจริงเขาจะไม่เคยเจอไดอาน่ามาก่อนเลยก็ตาม

 

คริสหยุดฝีเท้า ทำให้ไดอาน่าที่เดินนำไปเล็กน้อยหยุดตามแล้วหันกลับมาอย่างสงสัย

 

“ให้ผมเดินเล่นเป็นเพื่อนไหม?” ชายหนุ่มยักไหล่พลางโคลงหัว “ถ้าคุณไม่รังเกียจอะไร”

 

ริมฝีปากได้รูปค่อยๆคลี่ยิ้มกว้างและไดอาน่ารู้ว่ามันเป็นยิ้มที่กว้างที่สุดในชีวิตที่เธอเคยทำ

 

หิมะโปรยปรายลงมาอย่างเชื่องช้าเป็นภาพเบื้องหลังให้กับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของหญิงสาว

 

“ผมถือว่ายิ้มนั้นเป็นคำตอบตกลง”

 

 

 

 

 

FIN

 

 

เพิ่งได้ไปดู JL แล้วเวลาที่เห็นสายตาไดอาน่าพูดถึงสตีฟ เราจึงโคตรที่จะคิดถึงคู่นี้เลย ฮือ