MCU · My Fiction

[ScarlettBrie]Unpredictable I

Unpredictable

Drunk or not

 

 

ขวดเปล่าของแอลกอฮอล์ถูกหมุนตามแรงเหวี่ยงจากมือของหญิงสาวบนพื้นไม้ของโต๊ะ ในกลุ่มเพื่อนทั้งห้าคนที่ชวนกันมาปาร์ตี้บางคนมองขวดที่ถูกหมุนอยู่กลางวง บางคนยกแก้วขึ้นดื่มอย่างไม่ค่อยยี่ระอะไรแต่ในใจก็แอบลุ้นตามไปด้วยว่าปากขวดมันจะไปหยุดตรงหน้าใคร เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุดพวกเขาจึงชวนชาวแกงค์มาปาร์ตี้กันหลังจากที่ต้องตรากตรำทำโปรเจคใหญ่ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา และแน่นอนว่าพวกเขาได้วันหยุดชดเชยจากเจ้านายแสนดีเนื่องจากใช้วันหยุดของตัวเองไปกับโปรเจคดังกล่าว เพราะฉะนั้นก็คงพูดได้เต็มปากว่า สุขใดเล่าจะเท่าการที่ได้เมาหัวราน้ำแล้ววันถัดไปไม่มีงานให้ต้องเคลียร์

 

“บรีเติมน้ำแข็งให้หน่อย” เจ้าของชื่อรับแก้วแล้วทำตามเพราะตัวเองนั่งอยู่ทิศตะวันตัก เธอยื่นกลับคืนเจ้าของแล้วได้ยินเสียงคำขอบคุณที่ติดยานคางนิดๆกลับมา

 

“ว่าแต่คำท้าครั้งนี้คืออะไรวะ?” บรีถามสการ์เล็ตที่นั่งถัดไปฝั่งซ้ายมือเนื่องจากเธอเพิ่งกลับมาจากห้องน้ำจึงไม่รู้คำท้าที่ถูกทิ้งไว้ก่อนจากไป สการ์เล็ตหันมามองเธอ ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

 

“ไปขอคอนแทคของหนุ่มสักคนแถวๆนี้” ได้ยินคำตอบบรีก็เบะปากเล็กๆแล้วยักไหล่ ก่อนจะเอนตัวไปข้างหน้า เท้าศอกกับหัวเข่าทั้งสอง ขมวดคิ้วมองขวดที่หยุดแน่นิ่ง ปากขวดชี้ไปที่เทสซ่าเพื่อนสนิทของเธอ

 

เสียงแซวจากเพื่อนๆในกลุ่มทันทีที่ขวดหยุดรวมไปถึงบรีเองก็ส่งเสียงเช่นกัน ฝ่ายถูกท้าจากปากขวดลุกขึ้นแล้วทำท่าแบบเจ้าหญิงจับจีบกระโปรงกางออกแล้วย่อเข่าลงด้วยจริตจะก้านที่ดูกวนโอ๊ยแก่ผู้มองเห็น แล้วหายกลมกลืนไปกับผู้คนเพียงไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมกับคอนแทคของชายหนุ่มที่โชว์ร่าบนจอมือถืออย่างจงใจให้เพื่อนเห็น

 

“ไม่เบานะเนี่ยเทสซ่า” สการ์เล็ตเอ่ยแซว บรีเห็นด้วย “ท้าต่อเลยสิ”

 

เทสซ่าเม้มปากอมยิ้มราวกับนึกอะไรดีๆออก

 

“ขอท้าให้…” เธอหมุนขวด “…จูบคนที่อยู่ฝั่งขวามือ20วิ!”

 

เสียงโฮ่ออกมาอย่างเซ็งๆจากเดอะแก๊งค์เพราะเป็นคำท้าที่ไม่ได้ท้าทายอะไรสักเท่าไหร่สำหรับพวกเธอ ทันทีที่ขวดถูกหมุน บางคนก็เอนหลังพิงกับพนักพิงของโซฟา แรงยวบจากข้างๆทำให้บรีหันไปมองสกาเล็ตที่ทิ้งตัวลงไป สายตาทอดไปที่กลางโต๊ะแต่ไม่ได้จับจ้องอะไรเป็นพิเศษ บรีทิ้งตัวตามไป วางศอกบนพนักพิงเพื่อเท้าหัวตัวเอง

 

“คิดว่าจะไปหยุดที่ใคร” เธอถามขณะที่จ้องมองขวดตรงกลางวง

 

“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ฉัน”

 

“ไม่อยากจูบฉันขนาดนั้นเลยหรือไง” บรีแกล้งแหย่สาวข้างๆ

 

สการ์เล็ตยกแก้วดื่มก่อนจะตอบ “เพิ่งซื้อลิปสติกมาใหม่ต่างหาก ลองคิดภาพว่ามันไปอยู่บนปากคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของมันสิ ใช่ มันเปลืองย่ะ”

 

บรีเค้นเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย เธอไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องสำอางด์ราคาแพงสักเท่าไหร่เพราะทุนเดิมตัวเธอเองก็ไม่ใช่คนที่จะแต่งหน้ามาทำงานทุกวัน วันไหนขี้เกียจหรือตื่นสายหน่อยก็แค่คว้าอะไรได้ก็ใช้อันนั้นแล้วค่อยออกมาเจอผู้คน ผิดกับคนข้างๆอย่างสิ้นเชิง

 

เธอยกแก้วขึ้นดื่มบ้าง เริ่มรู้สึกมึนๆเพราะเธอเองก็ดื่มไปมากพอควร สติลดลงไปกว่าครึ่งส่วนหัวก็เริ่มโคลงไปมาตามจังหวะเพลงแล้วหลับตาพริ้ม

 

ปลายขวดหยุดตรงหน้าสการ์เล็ต เธอส่งเสียง What! พร้อมกระดกของเหลวที่เหลืออยู่ในแก้วตนจนหมด ก่อนจะหันไปสะกิดคนด้านขวามือตัวเองที่เธอเพิ่งบ่นเกี่ยวกับลิปสติกให้ฟังไป อีกคนลืมตาทำหน้าตื่นๆ สการ์เล็ตพ่นลมจากปากอย่างเบื่อหน่าย

 

“ขวดมันหยุดที่ฉัน”

 

“แล้ว?”

 

“คนด้านขวามือคือเธอ”

 

บรีขมวดคิ้ว หันกลับไปมองขวดที่ปลายของมันชี้มาทางสการ์เล็ตและมองเหล่าเพื่อนๆที่ตั้งตาคอยดูการท้าทายครั้งนี้ว่าสการ์เล็ตจะทำสำเร็จหรือไม่ ก่อนจะสลับมามองคนข้างๆ ดันตัวนั่งตรงพร้อมยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

 

“เดี๋ยวจ่ายค่าลิปสติกคืน”

 

“งั้นขอเป็นรุ่นเดิมแต่คนละสี”

 

บรีตอบตกลง มันจะอะไรไปมีอะไร ก็แค่การจูบกับผู้หญิงด้วยกันเอง

 

เธอหลับตา เชิดหน้าขึ้นสุดคอแล้วยิ้มยียวนตามประสาคนขี้เล่น แรงยวบที่พนักพิงทำให้บรีนึกได้ว่าสการ์เล็ตตัวเล็กกว่าแต่เธอก็ดันแกล้งยกหน้าจนสุดคอทำให้คนถูกท้าต้องยันพนักพิงเพื่อดันตัวให้ขึ้นมาจูบเธอ

 

สัมผัสแรกที่รู้สึกคือปลายจมูกแตะที่ข้างแก้มของเธอ

 

สัมผัสต่อมาเป็นความนุ่มของริมฝีปากที่แตะลงบนอวัยวะเดียวกัน และตอนนี้ปลายจมูกของเธอก็แตะที่ข้างแก้มของสการ์เล็ตจนได้กลิ่นหอมๆจากเครื่องสำอางค์ที่ถูกแต่งแต้ม เสียงนับถอยหลังจากเลข20เริ่มดังห่างไกลตามไปจนแทบไม่ได้ยิน

 

18

 

17

 

16

 

สัมผัสได้ถึงฝ่ามือของคนถูกท้าประคองใบหน้าของตัวเองไว้ บรีเริ่มแยกไม่ออกว่าไอ้ความรู้สึกอุ่นๆที่กำลังก่อตัวในช่องท้องมันเกิดจากแอลกอฮอล์หรือเกิดจากน้ำหอมของคนตรงหน้ากันแน่

 

10

 

9

 

8

 

เพื่อนนับถึงไหนแล้วบรีเองก็ไม่อาจจำได้ สการ์เล็ตก็เช่นกัน เธอสัมผัสได้ว่าอีกคนยกมือมาวางแปะไว้บนสะโพกของเธอ แต่ก็ไม่ได้ถือสาอะไรแถมเธอเองยังอยากให้คนตรงหน้าทำอะไรมากกว่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเมาหรือเปล่าถึงได้เกิดความคิดแปลกประหลาดแบบนี้กับเพื่อนร่วมงาน ใช่ เธอเมา สการ์เล็ต เธอเมา

 

5

 

4

 

น้ำหอมของอีกฝ่ายกลายเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนไปเสียแล้วในสมองของทั้งสองคน

 

2

 

1

 

 

สิ้นเสียงนับถอยหลังของเพื่อนๆ สการ์เล็ตผละออกจากบรี ทอดสายมองคนข้างล่างอย่างอ้อยอิ่ง อีกฝ่ายมองเธอกลับเช่นกัน ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นเมื่อเธอเห็นลิปสติกสีโปรดของเธอไปอยู่ริมฝีปากของอีกฝ่าย ปากอวบอิ่มเม้มหากันก่อนจะทิ้งตัวลงที่เดิมแล้วเริ่มเกมส์ตาต่อไปทันทีโดยที่มีความรู้สึกแบบนี้คอยกวนใจอยู่ข้างหลัง

 

บรีมองคนข้างๆที่หันไปเล่นเกมส์ต่ออย่างไม่รู้สึกอะไร พร้อมกับกับส่ายหน้าให้กับตัวเองที่มีความคิดแปลกประหลาดอยู่ฝ่ายเดียว เธอข้ามโต๊ะไปชนแก้วกับเทสซ่า ทิ้งความรู้สึกเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง

 

 

 

 

TBC

MCU · My Fiction

𝘎𝘰𝘰𝘥 𝘛𝘰𝘨𝘦𝘵𝘩𝘦𝘳

Pairing: Carolnat

Rate: ใสๆไปเรย!

 

 

– 𝘎𝘰𝘰𝘥 𝘛𝘰𝘨𝘦𝘵𝘩𝘦𝘳 –

 

 

ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า นาฬิกาบ่งบอกเวลายามเย็นที่แสงสีส้มย้อมท้องฟ้าเป็นสีสันที่ดูแปลกตากว่ายามกลางวัน พลันแสงจากไฟประดับดวงเล็กดวงน้อยที่ห้อยไว้ตามจุดต่างๆของบริเวณงานเทศกาลในหน้าร้อนก็โดดเด่นขึ้นมาทันตา

 

 

แครอลกดชัตเตอร์ถ่ายภาพคู่เด็กชายหญิงที่กำลังรับขนมสายไหมมาจากคนขาย ภาพพื้นหลังเป็นคุณแม่ของเด็กน้อยและคนรอบข้างมองมาทีาเด็กสองคนอย่างเอ็นดู เธอเดินเข้าไปหาคนเป็นแม่แล้วเปิดรูปที่เธอเพิ่งถ่ายได้ให้หล่อนดู พร้อมกับขอคอนแทคส์ที่เธอสามารถส่งรูปให้ได้

 

 

งานอดิเรกของเธอคือการถ่ายภาพ และเธอมักจะส่งรูปนั้นๆให้บุคคลที่ปรากฎอยู่ในรูปถ่าย ในทางกลับกันเธอก็ยินดีที่จะลบรูปหากว่าเจ้าของนั้นไม่อนุญาตให้เธอถ่าย

 

 

แครอลเดินไปเรื่อยๆผ่านร้านต่างๆที่แข่งกันแต่งให้สีสันสดใส ที่เธอประทับใจที่สุดคงเป็นรถเข็นขายป๊อปคอร์นนี่แหละ มันดันอยู่ตำแหน่งที่มีชิงช้าสวรรค์และไฟประดับหลายดวงเป็นฉากหลังพอดี

 

 

เธอเปิดดูรูปที่เพิ่งถ่ายไป

 

 

มันเป็นไปตามคอนเซปต์ที่เธอต้องการ แครอลอมยิ้มนิดๆ พลันสายตาก็ไปเจออะไรที่น่าสนใจในภาพถ่าย

 

 

ผู้หญิงผมบลอนด์ที่หอบถังป๊อปคอร์นและกำลังเดินจากไป ถ้าเธอมองไม่ผิดคนในรูปถ่ายก็สะพายกล้องรุ่นเดียวกับเธอไว้ที่คอ แครอลรู้สึกสนใจผู้หญิงในรูปถ่ายขึ้นมาทันที แต่พอละสายตาจากกล้องแล้วกวาดสายตาไปรอบๆก็ไม่เห็นวี่แววของผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว

 

 

” หายไปไหนนะ ”

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

แครอลไม่รู้ว่าจะหาเธอคนนั้นเจอได้จากที่ไหน

 

 

ทั้งที่ก็ไม่ใช่พื้นที่จัดงานที่ใหญ่โตอะไรแต่กลับหาอีกฝ่ายไม่เจอราวกับว่าเธอคนนั้นมาแค่เพื่อซื้อป๊อปคอร์นแล้วตรงดิ่งกลับบ้านเลยอย่างนั้นแหละ

 

 

แครอลถอนหายใจ ทิ้งตัวนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลือจากการจับจอง แล้วเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นก็ดังไม่ไกลจากเธอ ตรงนั้นมีการแสดงโชว์ของนักมายากลกับตัวตลกกำลังแจกอมยิ้มให้คนโดยรอบ คู่รักหลายคู่แอบอิงกันชมกาีแสดงตรงหน้า แครอลคิดว่าภาพนั้นมันน่ารักดี และแน่นอนเธออยากที่จะเก็บภาพน่ารักๆนั่นไว้

 

 

แชะ

 

 

เสียงชัตเตอร์ที่เธอค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่ของเธอภึงแม้ว่ามันจะดังในจังหวะเดียวกัน เธอหันซ้ายขวาค้นหาต้นเสียง สีบลอนด์ของเส้นผมที่ถูกลมปะทะเบาๆ กับสันจมูกจากใบหน้าด้านข้างของผู้หญิงคนนั้นดูเด่นสะดุดตาออกจากผู้คนโดยรอบ

 

 

แครอลกดชัตเตอร์ในขณะที่ใบหน้านั้นกำลังหันมา

 

 

มือเรียวหมุนเลนส์ปรับโฟกัสพร้อมกันกับที่คนในกรอบโฟกัสค่อยๆคลี่ยิ้มให้กล้องของเธอ

 

 

หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เธอรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังตกหลุมรัก

 

 

ผู้หญิงคนนั้นยกกล้องมาถ่ายแครอลเช่นกัน ก่อนจะเดินตรงมาหาเธอ

 

 

“ไง”

 

 

” ส..สวัสดี” แครอลตอบกลับตะกุกตะกัก รู้สึกว่ามือไม้มันเกะกะไม่รู้ว่าควรจะยกขึ้นมาโบกทักทายอย่างเป็นมิตรหรือยื่นออกไปจับทักทาย สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บมันเข้ากระเป๋าหลังกางเกงยีนส์

 

 

อีกฝ่ายชูกล้องขึ้นมาตรงหน้า

 

 

” เป็นสาวกเจ้ากล้องรุ่นนี้เหมือนกันสินะ ” อีกฝ่ายพูดอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วมองมาที่กล้องของแครอลอย่างพิจารณา

 

 

” อืมม รุ่นใหม่กว่าด้วย ”

 

 

แครอลพยักหน้าหงึกๆ

 

 

ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกล้องและเทคนิคต่างๆในการถ่ายภาพวิวกลางคืนเธอชื่อนาตาชาและเธอก็ใจดีพอที่จะไม่ถือสาอะไรเมื่อแครอลเผลอเรียกว่าแนทราวกับว่าเรารู้จักกันมานาน สไตล์การถ่ายภาพของแนทไม่ต่างอะไรจากเธอมากเท่าไหร่นัก พวกเราคุยกันนานพอสมควรที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายสนใจอะไร และเผอิญว่าความสนใจของพวกเรามันดันเหมือนกันด้วยนี่สิ

 

 

แครอลไม่ใช่คนข่างพูด แต่วันนี้เธอกลับพูดเยอะกว่าทั้งปีที่ผ่านมาเสียอีก คงต้องยกความดีให้แนทด้วยเช่นกันเพราะเธอเป็นคนคุยเก่งแถมมั่นใจในตัวเองมากๆด้วยล่ะ มีหลายครั้งเลยที่เธอไม่ทันฟังเนื้อความที่แนทพูดเพราะเธอดันไปสนใจใบหน้าที่กำลังพูดถึงสิ่งที่ชอบมากกว่า

 

 

ดูมีความสุขจังเลยนะ อดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้

 

 

” ต้องไปแล้วล่ะ ”

 

 

แครอลรู้สึกเสียศูนย์ไปเล็กน้อย

 

 

” ต้องกลับแล้วเหรอ? ” ไม่อยากให้กลับเลย

 

 

” อืม ” แนทลุกขึ้น บิดตัวเล็กน้อย ” สนุกมากเลยวันนี้ ”

 

 

“แต่เรารู้สึกว่าแทบไม่ได้คุยอะไรเลยนะ ฮ่าๆ” แครอลพิงพนักเก้าอี้ แสร้งดูดน้ำจากแก้วแดงขาวเสียงดังเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากคนผมบลอนด์

 

 

” คิดมากไปแล้ว ” แนทหัวเราะคิกคัก ” ไปแล้วนะ บาย ” พร้อมกับหันมาฉีกยิ้มแล้วโบกมือ แครอลตอบกลับเช่นเดียวกัน แล้วมองแนทหันหลังจากไปจนลับสายตาโดยที่ไม่คิดจะเรียกรั้งเธอไว้แม้ว่าจะอยากทำมากแค่ไหนก็ตาม

 

 

การตกหลุมรักครั้งนี้มันเร็วไปมันทำให้เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

บางทีการปล่อยให้สมองโล่งได้คิดอะไรสักพักก็ดีเหมือนกัน แครอลยังนั่งอยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนอริบทมาเป็นนั่งกางแขนกางขาให้เต็มม้านั่งเพื่อแสดงว่าตนได้จับจองพื้นที่ตรงนี้เต็ม100%และห้ามใครเข้ามายุ่ง

 

 

ถึงจะดูเห็นแก่ตัว แต่ขออยู่คนเดียวสักพักเถอะ

 

 

แครอลรู้ว่าการตกหลุมรักครั้งนี้มันเร็วกว่าก่อนๆ

 

 

แต่เธอเองก็รู้ว่าการตกหลุมรักครั้งนี้มันลึกกว่าครั้งไหนๆเช่นกัน

 

 

แครอลแกจะปล่อยไปจริงๆเหรอ

 

 

เธอถามตัวเองอีกครั้ง

 

 

” … ”

 

 

แครอลกดดูรูปในกล้อง เลื่อนไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่รูปแนทกำลังยิ้ม

 

 

เธอเป็นผู้หญิงที่คุยเก่ง เสียงเซ็กซี่นั่นฟังเพลินขนาดไหนตัวเธอเองคงไม่รู้หรอก

 

 

เธอมั่นใจในตัวเองแถมยังตัวหอมมากๆอีกด้วย

 

 

โดยรวมๆแล้วแนทเป็นผู้หญิงตัวเล็ก…แต่ความน่ารักของเธอมันดันเท่าโลกซะได้

 

 

และแครอลเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแอบถ่ายรูปแนทมาเยอะขนาดนี้อีกด้วย

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

” Damn it!” แครอลสบถ

 

 

“ตัวก็เล็กแค่นี้แต่ทำไมถึงได้น่ารักจังวะ!”

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

แครอลตามหาเจ้าของผมสีบลอนด์ที่น่ารักเท่าโลกสำหรับเธออย่างกระวนกระวายไปทั่วงาน เธอหอบน้อยๆจากการเดินที่ไม่ได้หยุดพักเลยเกือบๆชั่วโมง

 

 

แนทบอกว่าต้องไปแล้วล่ะ แต่เธอไม่ได้บอกว่าจะกลับนี่ แครอลรู้ว่าบางทีมันอาจจะหมายความตรงข้ามกับที่เธอคิด แต่ยังไงเธอก็ยังแอบหวังอยู่ดีว่าแนทจะยังไม่กลับจริงๆ

 

 

และก็ยังแอบหวังไปอีกว่าแนทอาจจะรออยู่ที่ไหนสักที่

 

 

รู้ว่าแอบหวังมากเกินไปกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แต่ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายดันหยิบหัวใจเธอติดมือไปด้วยไง จะไม่ให้ตามหามันก็จะดูไม่เหมาะสมกับความเป็นเจ้าของ

 

 

ดนตรีบรรเลงกับกลิ่นหอมๆของขนมและคาราเมลจากร้านป๊อปคอร์นลอยล่องในอากาศให้ประสาทสัมผัสได้รับรู้ ตอนนี้เวลาเริ่มดึกลงเรื่อยๆและอากาศก็ลดลงจากตอนกลางวันเช่นกัน เธอมองตามดวงไฟไปจนไปถึงจุดกำเนิดแสงหลายสีสันขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

แนทยืนอยู่ตรงนั้น…ที่ทางขึ้นชิงช้าสวรรค์วงใหญ่นั่น ผมสีบลอนด์ของเธอสะท้อนไฟนีออนหลากสีที่เป็นฉากหลัง เธอกำลังยิ้มให้แครอล

 

 

หัวใจที่ห่อเหี่ยวลงไปชั่วครู่กลับมากระปรี้กระเป่าอีกครั้ง พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็รู้กสึกเหมือนถูกเติมด้วยของหวานๆจนเต็มตัว แม้จะรู้ว่ามดอาจจะขึ้นมากัดกินความหอมหวานแต่เธอก็ยอมที่จะไขว่คว้าความรู้สึกที่ยากจะต้านทานแบบนี้เอาไว้

 

 

ครั้งนี้จะไม่ปล่อยเดินหายไปง่ายๆอีกแล้ว

 

 

“ไง” แครอลเป็นคนเริ่มทักทาย แนทตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

 

 

” Hey”

 

 

“ไหนบอกว่าต้องไปแล้วไง” แครอลถามขณะที่ยื่นแบงค์ดอลล่าให้พนักงานขายตั๋ว

 

 

“ก็ไม่ได้บอกว่าจะกลับนี่” แนทตอบกลับอย่างหยอกล้อพร้อมยักไหล่เล่นหูเล่นตา

 

 

แครอลหัวเราะเบาๆแล้วส่ายหน้า เธอได้เรียนรู้อีกอย่างว่าแนทเองก็ขี้แกล้งเหมือนกัน

 

 

“แสดงว่าคืนนี้ว่าง”

 

 

“แล้วถ้าเราตอบว่าไม่?”

 

 

“ไฟล์ทบังคับ ถ้างั้น”

 

 

ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน แครอลชูตั๋วสองใบแล้วโบกตรงหน้าคนตัวเล็ก

 

 

“ว่างคุยกันทั้งคืนมั้ย? ”

 

 

คำถามของแครอลทำให้แนทอมยิ้มอย่างเขินอาย เธอหูแดงและแครอลก็ไม่ได้บอกเพราะว่ามันน่ารักมากๆ

 

 

“ถามอย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”

 

 

แนททำหน้าครุ่นคิดก่อนจะมองตรงมาทางแครอล คนตัวเล็กกว่าค่อยๆเขยิบเข้ามาจนแทบจะชิดกัน กลิ่นหอมๆจากแนททำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งคนตัวเล็กเขย่งเท่าใกล้เข้ามาเรื่อยๆแครอลยิ่งทำตัวไม่ถูก เธอจึงเลือกที่จะหลับตาลงและรู้สึกถึงแรงมือของคนตรงหน้าที่ดึงแขนเสื้อเธอให้โน้มต่ำลงไป

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

“ไปซื้อป๊อปคอร์นก่อนนะ”

 

 

” … ”

 

 

แครอลกลั้นหัวเราะเพราะได้ยินเสียงหัวเราะที่เล็ดลอดออกมากจากปากคนตรงหน้า ดูเหมือนว่าแนทเองจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เพราะแกล้งเธอได้สำเร็จอีกครั้ง

 

 

แล้วทั้งคู่ก็ขำพรืดทั้งที่หลับตานั่นแหละ

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

: PHOTO SENT❤️💛

 

 

END

☺️

FIXATION&VIOLENT · My Fiction

Pray.

Pray.

Pairing: Hannigram

Rate: maybe R

 

 

 

PRAY.

 

 

“มันไม่ดีเลยกับการสวมบทเป็นคนอื่น”

 

 

ดร.เลคเตอร์แนะนำคนไข้ของเขาซึ่งนั่งหลังค่อมอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางเอามือถูกกันอย่างตื่นตระหนก เขาสังเกตเห็นเหงื่อเริ่มผุดพรายตามไรผม กลิ่นน้ำหอมที่เจ้าตัวมักจะได้รับเป็นของขวัญคริสมาสต์ทุกปีเจือจางอยู่ในอากาศ ก่อนจะพูดต่อ

 

 

“…โดยเฉพาะกับบทฆาตกร”

 

 

มือคู่นั้นหยุดกึก สายตาที่เจ้าตัวพยายามหลีกเลี่ยงการจ้องมองตวัดตรงมาทางเขา

 

 

“มันคืองานเลคเตอร์ คุณก็รู้”

 

 

“แต่ผมไม่ชอบเลย” ดร.เลคเตอร์จ้องตาคู่กลมของวิลกลับไปแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “คุณจะเลิกทำงานด้านนี้เพื่อผมไม่ได้เหรอวิล”

 

 

วิล แกรห์มหลบสายตา ส่ายหน้า

 

 

“ผลประเมินสุขภาพจิตอยู่ในระดับปกติ ผมสบายดีเลคเตอร์” วิลลุกขึ้น หยิบโค้ทที่วางไว้ตรงพนักพิงโซฟา

 

 

“ขอแค่ได้ช่วยเหลือคน สุขภาพของผมจะเป็นยังไงผมไม่เกี่ยง ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” วิลพูดรัวจบในประโยคเดียวเสียงเรียบ เขาออกจากห้องไปโดยทิ้งแค่ประโยคขอบคุณแบบเดิมๆไว้อย่างเช่นเคย

 

 

ดร.เลคเตอร์ถอนหายใจทันทีที่ประตูถูกปิด

 

 


 

 

วิล แกรห์มจากไปแล้ว

 

 

มันเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ห้ามวิลในการสวมบทเป็นคนร้าย เขาปล่อยให้วิลถล้ำลึกเกินไป เกินกว่าการควบคุมใดๆจะสามารถทำได้กับความคิดของวิล

 

 

ดร.เลคเตอร์ยืนนิ่ง จ้องมองที่กรอบรูปที่ใส่ภาพของวิล พิธีดำเนินอย่างเงียบเชียบและผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ขยับไปไหนตั้งแต่เริ่มจนจบพิธี เอาแต่มองดวงตาในรูปวิล มองราวกับว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่เหมือนอย่างเช่นเคย ราวกลับว่าการสูญเสียครั้งนี้เป็นแค่เพียงการเล่นซ่อนแอบที่เมื่อถึงเวลาวิลก็จะโผล่มาจากสักที่ แล้วบอกว่าเขายังไม่ตาย

 

 

รอบด้านเงียบกริบ ผนังแคบลง เสียงหัวใจเต้นชัดเจน

 

 

ดร.เลคเตอร์หลับตา ปล่อยให้หัวใจข้างในที่มันแตกสลายไหลออกมาภายนอกในรูปแบบน้ำตา

 

 

เสียงความเศร้าโศกดังสะท้อนในหัววนไปมาอย่างไม่มีจุดจบ

 

 


 

 

“ชุดของคุณ”

 

 

ดร.เลคเตอร์ถือโค้ทสีดำที่วิลมักจะใส่เป็นประจำไว้ที่มือซ้าย มันถูกเก็บอย่างดีในถุงคลุมเสื้อสีใส เขาวางไว้บนโต๊ะแสตนเลสถัดจากกองอุปกรณ์การแพทย์

 

 

หยิบหลอดฉีดยาขนาดใหญ่ที่ถูกบรรจุด้วยฟอร์มาลีนกลิ่นฉุนขึ้นมาเช็คปริมาณ ซึ่งบนโต๊ะมีหลอดยาแบบเดียวกันอยู่อีกสามถึงสี่หลอด

 

 

“วิล”

 

 

มองร่างไร้วิญญาณบนโซฟาซึ่งเป็นตัวที่วิลจะนั่งเป็นประจำเมื่อมาหาเขาช่วงหนึ่งทุ่มในทุกๆวัน เขาจัดอิริยาบทที่เขาชอบมากที่สุดนั่นคือการที่วิลนั่งค่อมหลังเอนมาข้างหน้า ดร.เลคเตอร์เย็บปลายนิ้วทั้งสิบของมือทั้งสองข้างติดกัน เย็บศอกให้ตั้งบนเข่าเพื่ิอให้ปลายนิ้วอยู่ที่ริมฝีปาก

 

 

แท่งเหล็กตั้งฉากระหว่างโซฟากับลำตัวเพื่อยึดไม่ให้ร่างไหลตามแรงโน้มถ่วง เขาพยายามทำให้ร่างนั้นอยู่ในท่าทางที่เขาต้องการโดยที่ไม่ทำลายความสวยงามของวิลมากที่สุด

 

 

ดร.เลคเตอร์คุกเข่าตรงหน้าร่างของวิล บรรจงฉีดฟอร์มาลีนตามจุดต่างๆอย่างนิ่มนวลทีละหลอด

 

 

“เสียดายที่ผมไม่สามารถทำให้ตาคุณเปิดตลอดเวลาได้” เขาลูบผมที่แห้งกร้านอย่างเบามือ “มันคือสิ่งที่สวยงามที่สุด แต่ผมก็ไม่อยากเห็นมันเปลี่ยนสีไปตามเวลาหรอก”

 

 

หลอดสุดท้ายถูกฉีดที่แขนซ้าย

 

 

เขาเอาเสื้อโค้ทออกจากถุงใส พาดไว้ที่พนักพิงอย่างที่วิลมักจะทำ

 

 

ถอยหลังแล้วทิ้งตัวลงโซฟาบุนวมที่อยู่ไม่หางจากวิล

 

 

“ยินดีต้อนรับกลับ วิล แกรห์ม”

 

 

 

 

END

DC universe

[Wayleska] Call you mine

Call You Mine

#Wayleska

 

 

ผ้าม่านสีนวลปลิวสไวตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนบานใหญ่ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน กองหนังสือที่บางเล่มถูกเปิดทิ้งไว้อย่างรอคอยให้อ่านต่อนอนแผ่อยู่ที่พื้นอย่างระเกะระกะและผิดปกติไปจากนิสัยเจ้าระเบียบของเจ้าของห้องนอนอย่างบรูซ เวยน์ ซึ่งเจ้าตัวก็กำลังนอนหลับฝันดีอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่ เขาส่งเสียงเบาๆเมื่อคนที่นอนกอดจากด้านหลังขยับกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับซุกหัวเข้ากับต้นคอด้านหลังเขาเพื่อหลบแสงสว่างที่สาดเข้ามาในห้องนอน

 

 

เจเรไมห์ วาเลสก้า

 

 

เสียงนาฬิกายังเดินไปพร้อมกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของทั้งคู่ โดยปกติแล้วบรูซจะไม่ชอบการต้องตื่นแต่เช้า เขาจึงหลับสนิทโดยที่ไม่ได้สนใจว่าแสงแดดจะสว่างเข้ามาในห้องมันจะมากเพียงใดหรือจะโดนกอดจนอึดอัดแค่ไหนเขาก็แค่ขยับตัวหนีแสงสว่างรบกวนสายตาเหล่านั้นไปอีกทางแล้วเป็นฝ่ายกอดกลับจนคนที่นอนด้วยแทบจะจมหายไปในตัว

 

 

และการกระทำนั้นก็ทำให้เจเรไมห์รู้สึกตัวและตื่นลืมตา เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นสม่ำเสมอเช่นเดียวกับเสียงลมหายใจของบรูซ คนเด็กกว่าคงยังไม่รู้ตัวว่าเขาเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อเอาหูแนบกับหน้าอกใต้เสื้อสเวสเตอร์สีดำนั้นเพื่อฟังเสียงแสนเบาหวิวนั้น

 

 

กลายเป็นว่าเขาชอบฟังเสียงหัวใจของบรูซเข้าให้เสียแล้วหลังจากที่ได้นอนกอดอีกคนทั้งคืน มันทำให้อบอุ่น ปลอดภัย และเพราะกว่าเสียงเพลงใดๆที่เขาเคยได้ฟังมา

 

 

“ผมรู้ว่าคุณกำลังสียใจ เจเรไมห์ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากที่จะทิ้งคุณไว้คนเดียว”

 

 

ประโยคเดียวที่พังทลายกำแพงทั้งหมดระหว่างเขากับบรูซ เจเรไมห์โผเข้ากอดคนเด็กกว่าอย่างอ่อนแรง

 

 

อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่ต่างก็ผ่านการสูญเสียครั้งสำคัญกันมาแล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเข้าใจความรู้สึกอันน่าเศร้าที่แอบซ่อนอยู่ในใจของกันและกัน พวกเขาเปิดใจคุยกันในหลายๆเรื่องตั้งแต่มาถึงคฤหาสน์ เจเรไมห์ก็ตกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยเพราะการพูดเยอะไม่ใช่พื้นฐานนิสัยของเขา อัลเฟรดพ่อบ้านประจำตระกูลช่วยดูแลเขาเป็นอย่างดีในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกันเรื่องหนังสือภายในห้องนอนของบรูซ ทำให้เขาได้ค้นพบอีกอย่างว่าพวกเขาทั้งสองมีความชอบหลายอย่างที่เหมือนกัน

 

 

จนกระทั่งที่เวลาล่วงเลยไปจนดึกและเขารู้ตัวว่าควรกลับ

 

 

“ผมคิดว่าผมควรกลับได้แล้ว”

 

 

“มิสเตอร์เจเรไมห์” บรูซร้องเรียกทันทีที่เขาแตะกลอนประตูห้อง “เอ่อ ดึกขนาดนี้แล้ว จะค้างที่นี่ก็ได้นะครับ อัลเฟรดน่าจะจัดห้องนอนแขกไว้ให้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ”

 

 

เจเรไมห์ยิ้ม “ขอบคุณครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับบทสนทนาที่แสนวิเศษตลอดทั้งบ่ายจนถึงตอนนี้ด้วย”

 

 

“ด้วยความยินดีครับ” บรูซยิ้มแต่หลบสายตาราวกับซ่อนบางอย่างไว้ เจเรไมห์หยิบเสื้อโค้ทมาถือไว้หันหน้าเขาประตูส่วนมือก็จับกลอนประตูไว้นิ่ง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครขยับจากตำแหน่งเดิมเลยสักก้าวเดียว

 

 

มีอะไรบางอย่างทำให้เจเรไมห์หยุดนิ่งอยู่แบบนั้น อะไรบางอย่างที่อธิบายได้ยาก และอะไรบางอย่างที่ว่านั่นก็คืออะไรบางอย่างที่อยู่ระหว่างเขาและบรูซ เจเรไมห์สามารถสัมผัสมันได้แต่ไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้ เขารู้แค่ว่าต้องการอยู่ต่ออีกสักหน่อยเท่านั้นเอง

 

 

เจเรไมห์แค่ไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้ และเขาค่อนข้างแน่ใจว่าบรูซก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

 

 

“ผมคิดว่า..” เสียงบรูซใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “..ผมควรเดินไปส่งคุณที่ห้องนอนแขก”

 

 

เขาตัดสินใจทิ้งเสื้อโค้ทและหันกลับไป

 

 

แล้วเขาก็เป็นคนเริ่มจูบแรกนั้นเอง

 

 

ความรู้สึกเบาหวิวแสนหอมหวานจากริมฝีปากค่อยๆแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนรู้สึกจั๊กจี้ที่ปลายนิ้วที่กำลังอุ้มใบหน้าของคนเด็กกว่าไว้ เจเรไมห์เริ่มจะอธิบายอะไรบางอย่างนั้นได้ เริ่มจากความรู้สึกที่เหมือนถูกเหวี่ยงขึ้นไปจนจุดสูงสุดของท้องฟ้าแล้วสายลมเบาๆก็พัดเอาริ้วเมฆสีขาวปุยมากระทบร่างกาย มือที่โอบใบหน้านั้นเหมือนกับการยื่นมือออกไปจับสายลมริ้วเมฆให้ความอ่อนโยนนั้นไหลผ่านข้อนิ้วไปถึงหัวใจได้เต้นแรงขึ้นมา

 

 

แล้วเขาก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้านั่นอย่างรวดเร็วเมื่อคิดได้ว่าที่ทำอยู่ในตอนนี้มันไม่ถูกต้อง

 

 

“ขอโทษครับ” เจเรไมห์ถอยหลังไปพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น เขาทำผิดพลาดไปมหันต์ “ผมควรต้องกลับจริงๆ”

 

 

ใช่ เขาควรต้องกลับจริงๆ

 

 

แต่ทว่ากลับถูกดึงเอาไว้จากเจ้าของห้อง วินาทีถัดมาความนุ่มที่ยังไม่ทันหายจากริมฝีปากของเขาก็กลับมาทักทายเขาอีกรอบ

 

 

บรูซเป็นคนเริ่มจูบครั้งที่สอง

 

 

และพวกเราก็ไม่สามารถที่จะหยุดความรู้สึกที่เกิดขึ้นพร้อมรอยจูบได้อีกต่อไป

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

เจเรไมห์ไม่อยากทำให้บรูซตื่นตอนนี้จึงเลือกที่จะนอนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งที่บรูซเลิกกอดแล้วหันไปอีกทางแทนเขาจึงค่อยๆลุกนั่งให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรี่ตาลงแทบเป็นเส้นตรงเพราะความพร่าเบลอจากสายตาสั้นประกอบกับเพิ่งตื่นนอนทำให้ศักยภาพในการมองเห็นยิ่งแย่ลงไปอีก มือก็แปะป่ายไปทั่วหัวเตียงเพื่อหาแว่นตาของตนซึ่งเขาจำได้ว่าเขาวางมันไว้ตรงนั้นเมื่อคืนนี้

 

 

แล้วข้อมือก็ถูกจับไว้ จากนั้นแว่นตาก็ถูกวางลงมาในมือ เขาสวมแว่น

 

 

“ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตื่น” เจเรไมห์หมายความตามนั้นจากใจจริง เขามองอีกคนที่นอนตะแคงมาทางเขากำลังส่งยิ้มแป้นกับตาที่ยังไม่เบิกเต็มที่ ภาพนั้นทำให้เขาหลุดขำออกมาเบาๆ บรูซในด้านนี้เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน และคิดว่าอาจจะไม่มีโอกาสเห็นเลยก็ได้เพราะทุกครั้งที่เจอกันอีกฝ่ายจะชอบทำหน้าเครียดคิ้วขมวดเกินอายุจริงอยู่เสมอๆ พอมาเห็นยิ้มสดใสแบบนี้แล้วก็รู้สึกเอ็นดูปนหมั่นเขี้ยวในความหน้าซนนั่นไปพร้อมๆกัน

 

 

ผมฟูยุ่งเหยิงของบรูซทำให้เขาอยากลูบ ส่วนมือก็ได้ไวดั่งใจสั่ง ยื่นเข้าไปในกลุ่มผมนั้นพร้อมขย้ำเบาๆ เจ้าของทรงผมน่าจะชอบเพราะดูจากการที่ขยับหัวเข้าหาฝ่ามือของเขาพร้อมกับรอยยิ้มโค้งเต็มที่โดยที่ตายังหลับอยู่ พนันได้เลยว่าไม่เกินนาทีบรูซต้องหลับไปอีกรอบแน่ๆ เขากะว่าจะให้บรูซหลับไปอีกรอบเสียก่อนแล้วค่อยออกไปเอาอาหารเช้าเข้ามาให้

 

 

จนกระทั่งที่เสียงหายใจดังสม่ำเสมอ เขาจึงได้ถอนมือออกแล้วค่อยๆพาร่างกายลุกจากเตียงให้เบาที่สุด

 

 

แน่นอนว่าเขาถูกดึงข้อมือไว้อีกครั้ง

 

 

“จะไปไหนกันครับเจเรไมห์” บรูซงัวเงียถาม ตาเบิกขึ้นจากเดิมนิดหน่อย เขาเอียงคอ

 

 

“ไม่ใช่หลับไปอีกรอบแล้วเหรอครับมิสเตอร์บรูซ”

 

 

“ก็กำลังจะหลับแล้วครับ” บรูซย้อนกลับพร้อมยันตัวเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน “จนกระทั่งที่คุณเลิกเกาหัวนั่นแหละครับ ผมถึงตื่น…จะไปไหนกันครับ” ปลายคิ้วเข้มๆตกลงในขณะที่หัวคิ้วยกขึ้น เขาเหมือนเห็นลูกหมากำลังอ้อนอยู่ยังไงยังงั้น อดไม่ได้ที่จะทำเสียงขึ้นจมูก ยิ้มแล้วกัดริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมสั่นหัวไปมาอย่างยอมแพ้

 

 

“จะไปเอาข้าวเช้ามาให้ครับ…ทีนี้ก็ปล่อยมือผมได้หรือยังครับ? มิสเตอร์บรูซ”

 

 

บรูซส่ายหัวช้าๆสองทีก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วดึงเขาขึ้นไปบนเตียงด้วยอีกครั้ง

 

 

เจเรไมห์คร่อมคนบนเตียงไว้ มองใบหน้าทะเล้นนั้น ก่อนจะจูบเบาๆที่ระหว่างหัวคิ้ว บรูซหัวเราะคิกคัก

 

 

“บ่ายๆค่อยเข้าไปบริษัทพร้อมกันนะครับ”

 

 

“ผมว่าไม่ค่อยดีมั้งครับมิสเตอร์บรูซ”

 

 

“ดีครับ ผมกำลังต้องการเลขา” บรูซเลื่อนมือทั้งสองมากอดเอวของเขาไว้ให้ทิ้งน้ำหนักลงไปที่ตน “อีกอย่าง ยินดีที่ได้รู้จักครับ เรียกผมว่าบรูซ” แล้วตามด้วยจุ๊บเบาๆที่คางของเจเรไมห์

 

 

เขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะทันทีที่ความนุ่มสัมผัสที่ปลายคาง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก

 

 

“คุณหัวเราะบ่อยจังครับเช้านี้” บรูซชมเสียงพร่า

 

 

“ผมก็ยังไม่เห็นคุณหุบยิ้มเลยตั้งแต่ตื่นมา” ทั้งคู่กลั้นยิ้มแล้วมองตากันก่อนจะหัวเราะพรืดออกมา เจเรไมห์รู้ตัวว่าควรลุกออกจากตัวบรูซสักที “โอเค ผมควรไปเอาอาหารเช้ามาให้คุณจริงๆนะครับ” แต่มีหรือที่คนเด็กกว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ บรูซยังคงส่ายหัวทำหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่

 

 

“Give me a kiss.” บรูซยื่นข้อเสนอ

 

 

“With my pleasure.

 

 

เจเรไมห์เริ่มจูบคนแรกก่อนอีกครั้ง

 

 

Fin

 

 

เอาตรงๆว่าคู่นี้ไม่จำกัดโพใดๆเลยค่ะ แค่คู่กันก็อร่อยแล้ว กรุบกริบ

ฟิคเคาะสนิมมากๆ ภาษาแปลกเกินเยียวยาจริงๆ