ฟิคกาว · MHA Fiction · My Fiction

[Kacchako] An angel faces.

An angel faces.

PG

uraraka ochako x bakuko tatsuki

เขาไม่เคยเชื่อว่านางฟ้ามีจริง

จนกระทั่งที่ร่างเล็กๆ นั่นลอยขึ้น เวลาพอดีกับที่พระอาทิตยคล้อยลงหลังพื้นดิน แสงอาทิตย์ย้อมสีท้องฟ้าครามให้กลายเป็นสีส้มหลากเฉดหยอกเย้ากับก้อนเมฆหน้าตาตลก กลีบซากุระฟุ้งกระจายในอากาศเมื่อลมยามเย็นพัดโชยมา เขาจับมือของร่างเล็กนั้นไว้แน่นอย่างกลัวว่าถ้าเผลอปล่อยมือ ถ้าจับมือเล็กๆ นี้ไม่แน่นพอ ร่างนั้นจะบินกลับไปยังสรวงสวรรค์ที่ตนจากมา

เขาไม่เคยเชื่อว่านางฟ้ามีจริง

จนกระทั่งวันนี้

.

.

.

“เอาล่ะ” ประตูห้องเรียนถูกปิดลงพร้อมกับเจ้าของเสียงที่กำลังก้าวเข้าไปที่หน้าชั้นเรียน อาจารย์ไอซาว่าวางแฟ้มเล่มที่ไม่หนาไม่บางเกินไปไว้ตรงตำแหน่งที่ควรจะเป็นบนโต๊ะสำหรับอาจารย์ เขาเปิดมัน กวาดสายตา แล้วปิดไว้แบบเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้านักเรียนทุกคนในคลาส 1-A ที่กำลังมองมาที่เขาอย่างจดจ่อ

“วันนี้เราจะฝึกพัฒนาอัตลักษณ์กัน”

เสียงโห่ร้องอย่างดีใจของเด็กๆ เพราะนั่นเป็นคาบที่พวกเขาชอบที่สุด ใช่แล้ว เพราะมันเป็นคาบเรียนที่ได้ใช้พละกำลังยังไงล่ะ

“ให้มันได้อย่างนี้สิ!” คิริชิม่าดูเหมือนจะเตรียมพร้อมที่สุด ถึงขั้นเปลี่ยนแขนตัวเองเป็นของแข็งตามอัตลักษณ์

“พวกเราไปเปลี่ยนชุดกันเถอะ-”

“เดี๋ยวก่อน” อาจารย์ไอซาว่าขัดขึ้นก่อนที่ทุกคนจะลุกจากที่ เจ้าพวกเด็กๆ ชะงักกึก บางคนที่ลุกขึ้นแล้วกำลังยืนค้างด้วยท่าทีงงงวย

“วันนี้เป็นการฝึกอัตลักษณ์ที่ห้ามใช้อัตลักษณ์” คนเป็นครูหาวน้อยๆ “เดี๋ยวฉันจะเป็นคนจับคู่ให้เอง เอาล่ะคู่แรก”

การจับคู่โดยอาจารย์ไอซาว่ายังคงดำเนินต่อ เขาจับคู่โดยใช้การดูว่าสองอัตลักษณ์จากคนสองคนมีจุดร่วมอะไรกัน ปากขานชื่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับให้คำแนะนำที่แอบเป็นคำสั่งไปพลาง

“บาคุโกคู่กับอุรารากะ” เว้นวรรค หาว แล้วแนะนำ “อัตลักษณ์พวกเธอทั้งสองคนใช้มือเป็นหลักใช่มั้ย” เขามองบาคุโกที่กำลังแยกเขี้ยว ไอ้เด็กคนนี้ต้องฝึกเรื่องการควบคุมอารมณ์อีกเยอะ “ไปจับมือกันซะ แล้วก็อย่าใช้อัตลักษณ์ใส่อีกฝ่าย”

“ห๊า!?” ฝ่ามือเตรียมประทุ สายตาของคนเป็นอาจารย์จ้อง แล้วเจ้าเด็กหัวร้อนก็ใช้อัตลักษณ์ไม่ได้ชั่วคราว

“หมดแล้วสินะ” มือหยิบแฟ้มแนบลำตัว “พรุ่งนี้เขียนรายงานมาส่งฉันที่ห้องพักอาจารย์ไม่เกินเที่ยง เลิกคลาสได้”

“ครับ! /ค่ะ”

.

.

.

อาจารย์ออกจากห้องเรียนไปแล้ว หลายคนเริ่มจับคู่กันและทำตามคำแนะนำที่ได้รับมา ก่อนจะพากันออกไปที่โรงอาหาร เสียงจอแจในทีแรกเริ่มหายไป แล้วไม่นานทั้งห้องก็เหลือแค่สองคนภายในห้องเรียนที่เงียบสนิท

บาคุโกยังคงหัวเสีย เขาไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการฝึกแบบนี้ ทำไมต้องฝึกไม่ใช้อัตลักษณ์ ถ้างั้นจะมีอัตลักษณ์เอาไว้ทำไม แล้วเขาจะได้อะไรจากการฝึกแบบนี้ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

“บาคุโกคุง”

“อะไร!” ความคิดที่ฟุ้งลอยกลางอากาศนั่นหายไปเพราะเสียงของคนที่ยังเหลืออยู่ เขาไม่ได้รำคาญเสียงนั้นจะบอกว่าเป็นแค่เพียงเสียงเดียวที่เขาไม่รู้สึกรำคาญน่าจะถูกกว่า แต่ไอ้นิสัยเสียของเขาเองที่ทำให้มันเหมือนกับว่าจะกินหัวอุรารากะเข้าไป

“ขอโทษทีนะ” อุรารากะหน้าเสียเล็กน้อย เธอเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากคู่กับเธอ ก่อนจะเสนอทางออกให้เด็กหนุ่มฟัง “จริงๆ เราไม่ต้องจับมือกันก็ได้นะ เดี๋ยวเรื่องรายงานฉันจัดการเองได้ สบายใจได้เลย”

บาคุโกะมองใบหน้าของอุรารากะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาจิ๊ปากอย่างรำคาญ เขาไม่ชอบรอยยิ้มแหยๆ กับใบหน้าแบบนั้นเลยให้ตายสิ

“มานี่” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปจับข้อมือคนที่ยืนเกาหัวข้างๆ อีกฝ่ายร้องเสียงหลงเพราะตกใจ คงไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้

.

.

.

“อ๊ะ บาคุโกคุง!” อุรารากะโดนลากออกไปที่โรงอาหาร เวลานี้นักเรียนทุกคลาสต่างต่อแถวซื้ออาหารกันเนืองแน่น เพราะไอ้การที่ทุกคนมัวแต่จดจ่อกับอาหารของตัวเองนั่นแหละทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าอันดับหนึ่งของUAกำลังจูงมือผู้หญิงออกมาที่โรงอาหาร ไม่งั้นคงได้เกิดท็อปปิคดังไปทั่วโรงเรียนแน่ๆ

บาคุโกยืนรออาหารโดยที่ยังคงจับมืออุรารากะเอาไว้ เขาเลือกร้านที่อุรารากะเป็นคนเลือกเพราะรำคาญที่จะต้องไปเดินเลือกหาเอง และรำคาญถ้าต้องปล่อยมืออุรารากะเพื่อเดินหาร้านอื่น และรำคาญที่จะต้องเดินหาอีกฝ่ายเพื่อให้กลับมาจับมืออีกครั้ง น่ารำคาญจริงๆ

มีคนตัวใหญ่เบียดเข้ามาจากแถวด้านซ้าย เขาจึงถูกเบียดให้ไหล่ไปชิดกับคนตัวเล็กที่อยู่ทางด้านขวา อุรารากะกล่าวขอโทษพัลวัน เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญหล่อนสักหน่อย จะขอโทษทำไม

“ขอโทษทีนะ”

“จะขอโทษทำไม”

“แหะๆ” อุรารากะยิ้มกว้างหลังคำขอโทษ บาคุโกมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งงัน จู่ๆ ข้างในท้องมันก็โหวงเหวง หน้าอกสั่นแบบแปลกๆ

ทำไมเหมือนเท้ามันลอยๆ วะ

“เฮ้ย ยัยหน้ากลม!” เขาเค้นเสียง พร้อมกับก้มลงไปนิดหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิน  “จะใช้อัตลักษณ์ทำไมห๊ะ!?”

อุรารากะงุนงง เธอก้มมองมือที่ถูกจับไว้ แล้วมองคนตัวสูงข้างๆ บาคุโกก็ไม่ได้ลอยไปไหน เท้ายังปกติดีอยู่บนพื้นโรงอาหารที่เงาวับ แถมมือของเราทั้งคู่มันก็เหมือนจะเกี่ยวกันไว้หลวมๆ ซะมากกว่า ฉับพลันภาพของอาจารย์ไอซาว่าก็ผุดขึ้นมาในหัว จุดประสงค์ของการฝึกวันนี้ก็คือการห้ามใช้อัตลักษณ์ใส่อีกฝ่าย หรือเธอดันเผลอใช้อัตลักษณ์โดยที่ไม่รู้ตัวกันนะ

“ขอโทษทีนะ ฉันจะระวังให้มากกว่านี้”

“เออ”

“แต่มือบาคุโกคุงก็…” เธออ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีมั้ย แต่ว่านี่คือการฝึกห้ามใช้อัตลักษณ์ เธอต้องพูดแล้วล่ะโอชาโกะ!

“มะ มือบาคุโกคุงเองก็ชุ่มเหงื่อจังเลยนะ” แต่ก็ตามด้วยรอยยิ้มซื่อ จริงๆ เธอรู้สึกมาได้สักพักแล้วแหละว่ามือของบาคุโกชุ่มเหงื่อมาก ที่ไม่กล้าพูดตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ตัวคงจะต้องจุดระเบิดที่ฝ่ามือ เหมือนกันกับถ้าเธอรู้ตัวเธอก็จะใช้อัตลักษณ์เบาหวิวนั่นแหละ

“ห๊าา!” นั่นไง เริ่มแล้ว ใบหน้าฉุนเฉียว ท่าทางเกรี้ยวกราดมันเริ่มเรียกความสนใจของคนโดยรอบ อุรารากะรีบขอโทษ แล้วพยายามห้ามไม่ให้บาคุโกอารมณ์เสียยิ่งกว่านี้ เธอหลับตาปี๋เตรียมรับแรงปะทะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่บาคุโกปล่อยมือจากเธอ แล้วเช็ดมือตัวเองกับเสื้อนักเรียนอย่างหงุดหงิดแทนการอาละวาด ก่อนจะยื่นมือกลับมาจับมือเล็กๆ ของอุรารากะอีกครั้ง

คิ้วบนใบหน้ากลมๆ ขมวดมุ่ยในทีแรก แต่ก็ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าบาคุโกไม่ได้อาละวาดอย่างที่จินตนาการไว้

กลับกันถ้าอุรารากะสังเกตดีๆ จะเห็นว่าใบหูของคนตัวสูงกว่าแอบขึ้นสีนิดๆ

บาคุโกรู้สึกว่าในตัวมันเบาหวิว เท้ามันเริ่มลอยอีกแล้ว

หยุดใช้อัตลักษณ์บ้าๆ นั่นสักทีเถอะยัยหน้ากลม!

.

.

.

คลาสเรียนตอนบ่ายดำเนินต่อไปจนถึงช่วงเย็นเลิกเรียน พวกเพื่อนๆ พากันแยกไปเป็นคู่ๆ อีกครั้งเหมือนเมื่อตอนพักเที่ยง ให้เดาว่าน่าจะยังคงฝึกต่อกันอีกสักหน่อยก่อนจะค่อยแยกย้ายกันกลับหอพัก เสียงคามินาริชวนคู่ตัวเองไปเกมเซนเตอร์ก่อนจะตามด้วยเสียงขอไปด้วยของคิริชิม่า ฝ่ายหลังหันมาชวนบาคุโกที่กำลังเก็บของอยู่ที่โต๊ะตัวเอง

“ไปมั้ยพวก”

บาคุโกส่ายหัวเป็นคำตอบ คิริชิม่าไม่ได้ติดใจอะไรก็หันไปชวนคนอื่นต่อ แล้วเดอะแก๊งค์ห้อง1-A ก็พากันยกโขยงไปเกมเซอนเตอร์กันกว่าครึ่งห้อง

บาคุโกกำลังรอ รอให้ทั้งห้องออกไปหมด เพราะเขารู้ว่าคู่ฝึกของตัวเองมักจะเก็บของเสร็จคนสุดท้ายเสมอ ถ้าถามว่าเขารู้ได้ไง ก็ถ้าหัดสังเกตในทุกๆ วันหน่อยก็จะรู้เองนั่นแหละ

“อ้าว บาคุโกคุงยังไม่กลับเหรอ?” อุรารากะที่เก็บของใกล้จะเสร็จถามบาคุโกที่เดินเข้ามาหาที่โต๊ะ เธอเงยหน้าน้อยๆ มองใบหน้าที่ไม่ได้แสดงอะไรออกมาของอีกฝ่าย

“ไม่ไปกับพวกผู้หญิงเหรอยัยแก้ม” ถามเสียงเรียบเมื่อเห็นอุรารากะเก็บของเสร็จ คนตัวเล็กกว่าสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่อย่างคล่องแคล่ว แอบนึกเอะใจนิดหน่อยกับคำว่ายัยแก้มแต่ก็ปล่อยเบลอไป ก่อนจะตอบคำถาม

“ไม่จ๊ะ” เธอก้าวออกนอกห้องเรียนในขณะที่บาคุโกก้าวตามมาเดินอยู่ข้างๆ “พวกซึยุจังแยกไปฝึกกันต่อที่ยิม ส่วนฉันตั้งใจจะไปซื้อของใช้หน่อยน่ะ”

“เหรอ” คนตัวสูงกว่ามองไปข้างหน้า โถงทางเดินในตัวอาคารตอนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนจากคลาสอื่นที่เลิกเรียนเวลาเดียวกัน บาคุโกมองกลุ่มเด็กหนุ่มห้องอื่นที่จับกลุ่มกันอยู่ริมหน้าต่างที่ไม่ได้ไกลจากพวกเรานัก เขาเห็นว่าหนึ่งในนั้นมองมาทางอุรารากะแล้วทำท่าเหมือนกำลังจะเดินเข้ามา

มือของทั้งสองเฉียดกันไปมา ไหล่ของอุรารากะชนเข้ากับหน้าอกของบาคุโกบ่อยครั้งเพราะต้องคอยหลบกลุ่มคนที่ยืนคุยกัน ทั้งคนวิ่งและเดินไปมา สายตาก็มองไปเห็นผู้ชายที่แอบมองคนข้างตัวเขาเมื่อกี้กำลังเดินใกล้เข้ามา แถมมือที่ปัดกันอยู่ข้างล่างอย่างไม่ตั้งใจนั่นก็ยิ่งเร้าหรือให้เขาหงุดหงิด

“ชิ”

น่ารำคาญชะมัด แล้วก็คว้ามืออุรารากะมากุมไว้

เจ้าของมือสะดุ้ง ส่งเสียงน่ารักเบาหวิว แล้วมองมือที่ถูกกุมไว้ ก่อนจะมองเงยมองคนข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ

“ระ เรายังฝึกไม่จบสักหน่อยยัยหน้ากลม” เสียงตะกุกตะกักของบาคุโกพลอยทำให้คนตัวเล็กเลิ่กลั่กไปด้วย อุรารากะที่ไม่สามารถตอบอะไรไปได้ก็ได้แต่เม้มปากก้มหน้างุด ทำให้ไม่ทันได้เห็นว่าคนตัวสูงส่งสายตาเย็นเฉียบแบบผู้เหนือกว่าให้แก่เด็กหนุ่มต่างห้องที่กำลังเดินมาทางเจ้าตัว

เด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาร้อง ‘โอ้’ ก่อนจะเห็นว่ามือของสาวที่ตนจะเข้ามาทำความรู้จักถูกกุมมือไว้โดยคนตัวโตข้างกัน แปลกชะมัดเลยเพราะเท่าที่เขารู้มานั้น อุรารากะซังยังไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันอะไรกัน รังสีอำมหิตแสดงความหึงหวงอย่างชัดเจนทำให้เด็กหนุ่มต่างห้องถอยผละออกไปอย่างยอมแพ้

พอเดินพ้นกลุ่มคนลงมาจากตัวอาคารเรียน อาการเดิมมันก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง

ตัวเบาหวิว เท้าเหมือนจะเริ่มลอยอีกแล้ว

“นี่! จะใช้อัตลักษณ์ทุกครั้งที่จับมือเลยเหรอยัยหน้ากลม”

อุรารากะขมวดคิ้ว นี่เธอใช้อัตลักษณ์โดยที่ไม่รู้ตัวอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ

“แหะๆ ขอโทษทีนะบาคุโกคุง”

.

.

.

มือของบาคุโกไม่ชุ่มเหงื่อแล้ว เธอนึกยินดีกับคนตัวสูงด้วยที่ไม่ใช้อัตลักษณ์กับเธอได้สำเร็จ แต่ก็จะมีแต่เธอนี่แหละที่ยังไม่สามารถทำได้ เพราะบาคุโกคอยบอกอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เดินเข้าย่านการค้าจนกระทั่งซื้อของเสร็จว่าเธอใช้อัตลักษณ์อีกแล้วนะ ส่วนเธอก็หัวเราะแห้งแล้วตอบขอโทษกลับไปทุกครั้ง

มือข้างที่ว่างจากการจับมือกำลังทำหน้าที่ถือไม้เสียบดังโงะสามสี เธองับเข้าปาก เคี้ยวแก้มตุ่ยแล้วส่งเสียงที่บ่งบอกว่าอร่อยมากๆ ออกมา

คนตัวสูงกว่าเห็นการกระทำทั้งหมด แล้วเบนหน้าไปอีกทาง แต่ได้แค่แป๊ปเดียวก็รู้สึกสนใจแก้มตุ่ยๆ นั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามาทางอุรารากะอย่างวางมาด แล้วในหน้าอกมันก็กระตุกวูบขึ้นมาดื้อๆ

ถ้าไม่ติดว่ามือข้างที่ว่างจากการจับมือกำลังถือของให้อุรารากะอยู่ เขาคงยื่นมือออกไปบีบแก้มของยัยหน้ากลมเพราะหมั่นเขี้ยวแล้ว

ให้ตายสิ นี่เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย

“แบบว่านะบาคุโกคุง” เสียงเรียกของคนตัวเล็กข้างๆ ดึงสติของเขาที่กำลังฟุ้งซ่านให้กลับเข้าร่องรอย เขาถามกลับว่ามีอะไรด้วยโทนเสียงประหลาดชนิดที่ว่าถ้าคิริชิม่าได้ยินต้องคงล้อไปยันเรียนจบแน่ๆ อุรารากะหยุดเดิน เขาก็หยุดเดินด้วย

“วันนี้ขอบคุณมากๆ เลยนะ” รอยยิ้มเจิดจ้าที่สว่างแข่งกันกับดวงอาทิตย์ถูกแต่งแต้มบนใบหน้าน่ารักของคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างอุรารากะ บาคุโกเสียหลักเซไปข้างหลังเล็กน้อยแต่ก็น้อยมากๆ ถ้าไม่ทันสังเกตให้ดี

“เรื่องอะไรล่ะ”

“จะว่ายังไงดีล่ะ” อุรารากะเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง และบาคุโกก็เป็นผู้ตามที่ดี “คิดมาตลอดว่าบาคุโกคุงเป็นคนน่ากลัวตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน” ดังโงะลูกสุดท้ายถูกเคี้ยวแก้มตุ่ย บาคุโกเหล่มองแก้มสีชมพูอ่อนๆ นั่นพร้อมกับเงี่ยหูคอยฟังประโยคต่อไป “แถมยังเคยคิดว่าบาคุโกคุงไม่ชอบหน้าเราตั้งแต่จบงานกีฬาUA แต่พอวันนี้ พอได้อยู่ด้วยกันแล้ว บาคุโกคุงน่ะ เป็นคนดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก”

ไม่ได้ไม่ชอบหน้าสักหน่อย เขาแค่ทำตัวไม่ถูกเวลาที่อีกฝ่ายเข้ามาคุยแค่นั้นเอง

“ขอบคุณที่ให้เราได้เห็นอีกด้านของบาคุโกคุงนะ”

คนโดนชมหน้าร้อนผ่าว ทั้งที่อากาศยามเย็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ได้ร้อนจนเหงื่อไหล ความรู้สึกโหวงเหวงในช่องท้องถูกเติมเต็มด้วยมวลหมู่ผีเสื้อแกล้งบินว่อนจนรู้สึกจั๊กจี้แบบแปลกๆ เหมือนผีเสื้อพวกนั้นกำลังจะพาร่างเบาหวิวของเขาบินขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับคนข้างๆ เลยล่ะ

“ยะ..อย่าใช้อัตลักษณ์กับฉันนะยัยแก้ม”

“เอ๊ะ?” อุรารากะหันไปมองคนข้างๆ หูแดงจัดของบาคุโกพลอยทำให้เธอหน้าแดง แถมใจเต้นเร็วไปด้วย “ขะ ขอโทษนะ บาคุโกคุง แต่ว่ามัน งื้ออ” เธอเขิน ใช่ เขินมากด้วยเมื่อนึกได้ว่าพูดอะไรออกไปก่อนหน้านี้ ทำยังไงดีโอชาโกะ ทำยังดี ฮืออ

เพราะความเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกของอุรารากะทำให้เธอใช้อัตลักษณ์ออกมา ร่างของเธอกลายเป็นเบาหวิวและกำลังลอยขึ้น เจ้าคนตัวเล็กใช้หลังมือปิดหน้าไว้หวังว่าจะซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านของตัวเองไว้ทั้งที่รู้ว่ามันซ่อนไม่มิดหรอก

“หวา ขะ ขอโทษทีนะบาคุโกคุง ฉันเผลอใช้อัตลักษณ์ไปจนได้” กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไสวเบาๆ ตามแรงลม เธอหัวเราะเสียงใสก่อนจะค่อยๆ แย้มรอยยิ้มกว้างจนแก้มดันให้ตาหยี ทุกอย่างพลันกลายเป็นภาพช้า เข็มเวลาพลันหยุดนิ่งในสายตาของคนด้านล่าง

บาคุโก คัตสึกิไม่เคยเชื่อว่านางฟ้ามีจริง

จนกระทั่งที่ร่างเล็กของอุรารากะ โอชาโกะ ลอยขึ้นกลางอากาศในเวลาพอดีกับที่พระอาทิตยคล้อยลงหลังพื้นดิน แสงอาทิตย์ย้อมสีท้องฟ้าครามให้กลายเป็นสีส้มหลากเฉดโดยมีฝูงนกบินหยอกเย้ากับกลุ่มก้อนเมฆหน้าตาประหลาดอยู่เบื้องหลัง กลีบซากุระฟุ้งกระจายในอากาศเมื่อลมยามเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมา เสียงหัวเราะใสๆ ของอุรารากะกับกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ทำให้เขากลั้นหายใจอย่างลืมตัว

บาคุโกเม้มปาก รับรู้ได้ด้วยตัวเองว่ากำลังหน้าแดงแข่งกับคนที่กำลังลอยอยู่แน่ๆ ทั้งตัวและหัวมันเบาหวิว เหมือนว่าเท้าจะลอยขึ้นนิดนึงเลยล่ะ

“อย่าปล่อยนะ ถ้าปล่อยฉันต้องลอยไปไกลแน่ๆ เลย”

ไม่คิดจะปล่อยอยู่แล้ว เขาจับมือของร่างเล็กที่ล่องลอยนั้นไว้แน่น เพราะกลัวว่าถ้าเผลอปล่อยมือ ถ้าจับมือเล็กๆ ของอุรารากะไม่แน่นพอ ร่างของเธอนั้นจะบินกลับไปยังสรวงสวรรค์ที่ตนได้จากมา

เขาไม่เคยเชื่อว่านางฟ้ามีจริง

จนกระทั่งวันนี้

“ทำหน้าอย่างกับนางฟ้าเลยนะยัยแก้ม”

FIN

จู่ๆก็คิดว่าไอ้คัตถ้าเขินจนตัวลอยต้องโทษว่าเป็นเพราะอัตลักษณ์โอชาโกะแน่ๆ มันน่ารักมากๆเลยค่ะ อร่อยมากๆเลยล่ะ ฮื้ออออออ

MCU · My Fiction

[ScarlettBrie]Unpredictable II

Unpredictable

I’ll be yours and you’ll be mine.

 

 

เสียงเพลงที่เคยกระหึ่มเมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆลดระดับเสียงลงเมื่อนาฬิกาตีไปที่เวลาปิดทำการของบาร์ นักท่องราตรีกำลังบอกลากัน บางคนที่โชคดีก็อาจจะได้คนคุยต่อตลอดทั้งคืน แต่บางคนก็เลือกที่จะปฎิเสธทุกๆความสัมพันธ์ที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาเพราะความเหงาและเหล้าเบียร์

 

บรียังคงนั่งอยู่ที่เดิม กำลังมองเพื่อนสาวที่กำลังช่วยกันหอบหิ้วคนเมาอย่างเทสซ่าและคนอื่นๆในกลุ่ม เธอยกเครื่องดื่มในมือจนมันหมดแก้วก่อนจะส่งให้เด็กเสิร์ฟที่เดินผ่านมาเพื่อไปเก็บโต๊ะที่อยู่ถัดไป เสียงสการ์เล็ตดังเหนือหัว

 

“ไปช่วยอลิซหิ้วเทสซ่าหน่อยสิ” เจ้าของเสียงก้มหยิบกระเป๋าถือที่วางอยู่ข้างๆเธอ “คนที่รู้คอนโดเทสซ่าก็มีแค่เธอไม่ใช่เหรอ”

 

“เทสซ่าย้ายคอนโดบ่อยจะตาย” บรีค่อยๆลุกจากโซฟาแล้วเหยียดยืนเต็มความสูง “แน่ใจได้ไงว่าฉันจะรู้”

 

สการ์เล็ตยักไหล่ “เธอรู้แล้วกัน”

 

 

 

คนเมาถูกหิ้วขึ้นรถที่มีเจ้าของเป็นบรี ลาร์สัน เบาะหลังถูกจับจองจนเต็มพื้นที่จากร่างที่หลับไม่รู้สติของเทสซ่า อลิสที่ช่วยกันหิ้วเพื่อนออกมาก็แยกไปที่รถส่วนตัวของตนเอง ตอนนี้ก็เหลือแค่บรี สการ์เล็ต และเทสซ่าเจ้าแม่ปาร์ตี้

 

“บางทีฉันควรกลับกับอลิซ”

 

“บ้าน่า” พร้อมกดปุ่มสตาร์ทรถ “คอนโดเธอกับยัยนั่นอยู่คนละฝั่งกันเลย จะให้ยัยลิซขับวนไปวนมาเพื่ออะไรอ่ะ เอ้า ขึนมาบนรถได้แล้วสการ์เล็ต”

 

 

 

 

ล้อบดพื้นถนนไฮเวย์ที่มีเสาไฟส่องแสงสีส้มรายทางทอดตัวไปไกลสุดลูกหูลูกตา เสียงเพลงของนักร้องสายอินดี้ดังคลอเคลียกับความเงียบของบุคคลทั้งสามในรถ อันที่จริงควรบอกว่าสองซะมากกว่าเพราะอีกหนึ่งคนคงหลับไปอีกยาว สการ์เล็ตทอดสายตามองข้างทาง เสียงจากตำแหน่งคนขับดังเรียกความสนใจ

 

“จะหลับก็ได้นะ” บรีเหลือบมามองพูดเสียงเรียบ “เดี๋ยวถึงแล้วจะปลุก”

 

“ไม่เป็นไร” เธอตอบ ชี้นิ้วโป้งไปที่เบาะหลัง “ยังไงก็ต้องหิ้วเทสซ่าขึ้นห้องอยู่แล้ว”

 

คนขับหัวเราะหึๆ

 

“หายากนะเนี่ยที่เธอไม่เมาหัวราน้ำไปกับเทสซ่า” สการ์เล็ตเปรยขึ้นมา แล้วมองเจ้าของรถอย่างพิจารณา ฝ่ายถูกมองเบ้ปากนิดๆก่อนจะตบไฟเลี้ยวซ้ายวินาทีถัดมาก็ตอบคำครหาของผู้โดยสาร

 

“ก็เพราะฉันกำลังทำความเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่ไง” ความเร็วรถค่อยๆชะลอลงจนมันจอดนิ่งหน้าทางขึ้นคอนโดเทสซ่า

 

“เรื่อง?” สการ์เล็ตปลดเข็มขัดนิรภัย เธอรอคอยคำตอบ เจ้าคนถูกถามชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะรีบดึงสติกลับมาแล้วตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก

 

“ร..เรื่องสีลิปสติกที่จะซื้อคืนให้เธอไง”

 

“อ๋อ” แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็เล่นเข้ามาในหัวของทั้งสอง ปากอวบอิ่มของสการ์เล็ตเม้มเข้าหากันในจังหวะที่บรีเผลอหลุบสายตาลงไปมอง ความรู้สึกนุ่มหยุ่นยังคงหลงเหลืออยู่พอให้รู้สึกถึง แต่เธอไม่แน่ใจว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรืออะไรที่ทำให้เธอไม่แน่ใจว่ามันใช่ความหอมหวานแบบเดียวกันกับในความคิดของเธอหรือเปล่า

 

เสียงกระซิบกระซาบดังมากจากส่วนหนึ่งในร่างกาย

 

ลองเช็คดูก่อนสิ มันก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา

         

ใช่ ไม่มีอะไรเสียหายหรอก

 

ประกายแวววับในดวงคู่สวยของสการ์เล็ตกำลังสื่ออะไรบางอย่างออกมา บรีมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

 

เจ้าของรถขยับตัวมาข้างหน้านิดหน่อยเป็นจังหวะเดี๋ยวกันกับอีกคนที่ขยับเข้ามาใกล้อีกนิดเช่นกัน

 

“เธอเคย…” บรีเว้นจังหวะ ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงอย่างตื่นเต้น “…จูบใครสักคนแล้วไม่แน่ใจมั้ย”

 

ใกล้กันเข้ามาอีกนิดจนได้ยินเสียงลมหายใจและได้กลิ่นน้ำหอมของอีกฝ่าย

 

“จริงๆมันก็นานแล้วที่ฉันทะเลาะกับเสียงในหัวของตัวเองว่าคนๆนี้จะใช่หรือเปล่า”

 

ปลายนิ้วเรียวแตะสัมผัสกัน หยอกล้อเล่นกับฝ่ามือของกันและกันอย่างอ้อยอิ่ง

 

เสียงแหบพร่ากระซิบตอบกลับมา

 

“ทางเดียวที่จะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่” สการ์เล็ตแย้มยิ้ม มองแพขนตาของอีกฝ่ายที่หลุบสายตาลงไปมองนิ้วมือที่เกี่ยวพันกันกลางอากาศ เธอขยับเข้าใกล้อีกนิด สูดกลิ่นน้ำหอมของอีกคนอย่างลืมตัว “มันก็ต้องลองดูไม่ใช่เหรอ”

 

บรีเบนสายตาไปที่ใบหน้าของสการ์เล็ต เธอกำลังเอียงคอมองมาด้วยแววตาที่ทั้งท้ายทายและชักชวนให้เข้าไปค้นหาคำตอบ ก่อนจะหัวเราะเบาๆอย่างติดเขินอาย แล้วตอบรับคำท้าท้ายที่แสนชวนเชิญในดวงตาคู่นั้น

 

ริมฝีปากประทับลงไปอย่างแผ่วเบา หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะก่อนที่มันจะกลับมาประมวลผลว่าความนุ่มหยุ่นและหอมหวานนี้เป็นอันเดียวกันกับก่อนหน้านี้ รู้สึกเหมือนในตัวถูกแทนที่ด้วยน้ำหวานหอมๆรสพิเศษที่มีเพียงเธอสองคนเท่านั้นที่บอกได้ว่ามันคือรสแบบไหน

 

เธอผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง

 

“แน่ใจหรือยัง?”

 

แน่ใจแล้ว  “ยังไม่เท่าไหร่ คงต้องลองอีกที”

 

พวกเราหัวเราะคิกคักก่อนจะโน้มตัวเข้าหาริมฝีปากของกันและกันอีกรอบ

 

จากแผ่วเบาเริ่มร้อนแรง

 

แรกเริ่มแค่สัมผัสสู่การรุกล้ำเพื่อค้นหาความหวานและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกลกว่านั้นก็มีเสียงปริศนา ไม่สิ ต้องบอกว่าเสียงของคนที่ถูกลืมดังมาจากเบาะหลังเสียมากกว่า

 

“เบาหน่อยสาวๆ เทสซ่าคนดียังอยู่ตรงนี้นะคะพวกหล่อน”

 

ทั้งคู่รีบผละจากกันทำให้เกิดเสียงจุ้บน่ารักๆกลางอากาศ สการ์เล็ตรีบนั่งให้ตัวเล็กที่สุดที่แน่ใจว่าเทสซ่าจะไม่เห็นหล่อน ส่วนเจ้าของรถก็กระแอ่มไออย่างเลิ่กลั่กแล้วหันมาหาเธอ

 

“อ…อ้าวเทสซ่า” กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ให้ฉันขึ้นไปส่งมั้ย หมายถึง ถ้า เธอยังไม่สร่างเมา อะไรประมาณนี้” บรีพยายามแสดงความเป็นห่วงทั้งๆที่หน้าเห่อร้อนและหัวใจก็เต้นแรงจนหูอื้อ

 

เทสซ่ายิ้มเจ้าเล่ห์ พลางคิดในใจว่า รู้ตัวกันสักทีสินะพวกเธอ ก่อนตอบปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนสาว “ไม่อ่ะ หายเมาแล้ว”

 

“อ่าห่ะ”

 

“โอเค ฉันไม่เป็นกขคง.หรืออะไรของพวกเธอแล้ว ฝันดีนะจ๊ะสการ์เล็ต”

 

คนถูกเอ่ยถึงตอบกลับประโยคแบบเดียวกัน เทสซ่าลงจากรถไปแต่ก็ไม่วายที่จะตะโกนไล่หลังตามมา

 

“พวกเธอเลือกสีลิปสติกได้เข้ากันดีนะ”

 

 

เสียงถอนหายใจจากฝั่งซ้ายเรียกเสียงหัวเราะจากบรี

 

“ขำอะไรขนาดนั้น”

 

“ไม่รู้ดิ” เธอตอบก่อนจะเงียบไปแล้ววินาทีถัดมาก็พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี “เมื่อกี้มันสุดยอดมากๆ” ก่อนจะหันไปยิ้มยียวนให้สการ์เล็ตที่กลอกตาเป็นคำตอบกลับมา

 

“ไม่อายเลยนะ”

 

“อายทำไม โตๆกันหมดแล้ว ว่าแต่เธอจะไปค้างที่คอนโดฉันก่อนหรือจะกลับบ้านเธอเลยดี” ความเงียบทอดตัวลงมาในอากาศ สการ์เล็ตเอนพิงเบาะแบบเต็มๆหลัง รู้สึกผ่อนคลายจนต้องยิ้มออกมา

 

“ไปที่บ้านฉันเลยแล้วกัน”

 

“อืม นั่นสิ ไหนๆก็ดึกแล้ว” คนขับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะนั่งตัวตรงจดจ่อกับเส้นถนนตรงหน้า

 

“ฉันหมายถึงย้ายเข้ามาอยู่บ้านด้วยกันเลยดีกว่า”

 

บรีหัวเราะร่วน “ไม่ค่อยจะรีบเลยนะ”

 

สการ์เล็ตยักไหล่ “จะช้าอยู่ทำไม โตๆกันหมดแล้ว”

 

ริมฝีปากบางของคนขับค่อยๆคลี่ยิ้มกว้างออกมา

 

“นั่นสินะ”

MCU · My Fiction

[Carolnat] Perfect Places II

Perfect Places

[ CarolNat ]

-2-

 

“ไง” คำทักทายสั้นๆที่ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรออกมาจากปากเจ้าของห้อง นาตาชากระพริบตาปริบ แล้วก็มีความเงียบที่โรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศระหว่างทั้งสองอยู่นานนับนาที

 

ทั้งสองยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครขยับจากตำแหน่งเดิม และมันก็นานมากพอที่จะให้นาตาชานักสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่างที่แปลกออกไปจากแครอลคนเดิมในความทรงจำ

 

อย่างแรกคือสรีระ แครอลคนตรงหน้าสูงกว่าแครอลในความคิดของเธอตั้งหลายเท่า แครอลคนนี้ผอมลงไปเยอะมากเมื่อเทียบกับแครอลแก้มยุ้ยคนเดิม แครอลคนนี้ใส่เสื้อผ้าโชว์ทรวดทรงอย่างโจ่งแจ้งผิดกับแครอลที่สวมชุดกระโปรงในความทรงจำ

 

เวลาสามปีที่ผ่านไปเปลี่ยนจากเด็กหญิงเป็นคุณผู้หญิงได้ขนาดนี้เลยเหรอ เธอนึกสงสัย

 

“หวัดดี”

 

“ขอทางหน่อย” อีกคนเมินคำทักทายของเธอด้วยคำพูดขอทาง เธอกำลังเมินฉันอยู่นะแครล เสียงประท้วงดังเงียบๆในหัวของนาตาชาขณะที่เจ้าของห้องแทรกตัวเข้าไปในห้อง เธอมองตามอีกฝ่ายที่ทิ้งกระเป๋าสะพายไว้ระหว่างทางขณะที่ก้าวไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่ วินาทีต่อมาร่างสูงๆนั่นก็ทิ้งตัวเองลงบนความนุ่มสีขาวอย่างอ่อนล้า

 

และเธอเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ

 

“แครล ฉันรู้ว่าเราไม่ได้เจอกันสามปี” นาตาชาเม้มปาก เดินเข้ามาในห้องนิดหน่อย “แต่เธอจะเมินฉันอย่างนี้ไม่ได้นะ”

 

น้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆติดน้อยใจหน่อยๆออกมาจากปากของคนเด็กกว่า เธอก้าวเข้ามาอีกนิด รู้สึกรื้นๆหัวตาขึ้นมา เธอรู้ว่ามันงี่เง่า แต่แครอลเป็นเพื่อนคนเดียวที่เธอไม่อยากให้เปลี่ยนไป “แครล”

 

“…”

 

เธอโบกมือไปมาตรงหน้าร่างเจ้าของห้อง แอบได้ยินเสียงกรนเบาๆออกมาเคล้ากับลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอ แล้วเธอก็รู้ตัวว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ความน้อยใจเมื่อสักครู่อันตธานหายไปในพริบตา พอได้สติกลับมาก็ทำให้เธอสามารถสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่างได้ชัดเจนขึ้น

 

แครอลไม่รู้จักระวังตัวเองเหมือนเคย แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องปีนป่ายอย่างเมื่อก่อน ครั้งนี้มันเป็นเรื่องของเสื้อผ้า เธอรู้ว่าพอผู้หญิงโตขึ้นอะไรๆมันก็จะชัดเจนและสวยงามขึ้น แต่มันไม่ใช่กับการที่อีกฝ่ายจะใส่เสื้อผ้าที่ช่วยปิดแค่ด้านหน้ากับช่วงล่าง แถมเธอยังรู้สึกว่ากางเกงที่แครอลสวมอยู่สั้นเกินไปด้วยซ้ำเมื่อมันอยู่บนขาที่เรียวยาวของร่างที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง แผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของอีกคนทำให้เธอรู้อีกว่าเพื่อนของเธอสวมชุดแบบนั้นทั้งที่ไม่มีบราช่วยปกปิดอะไรที่อยู่หลังเนื้อผ้าเลย

 

นั่นมันทำให้เธอหงุดหงิดมากๆอย่างหาสาเหตุไม่ได้ และมันเป็นความหงุดหงิดที่เธอเองก็ไม่เข้าใจด้วยเหมือนกัน

 

นาตาชาห้ามตัวเองไม่ให้ห่มผ้าให้แครอลบนเตียง แล้วเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะปิดประตูก็บึนปากประชดประชันเจ้าของห้องที่หลับปุ๋ย ช่วยไม่ได้นะแครล เธอทำตัวให้น่าหงุดหงิดเอง

 

“ป่วยขึ้นมาไม่รู้ด้วยหรอกนะ”

 

แต่ก็ปิดประตูให้เบาที่สุดเพราะไม่อยากให้เสียงรบกวนแครอล

 

.

.

 

.

มื้อค่ำดำเนินไปอย่างราบรื่นและเรียบง่าย ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนยังคงมีหัวข้อใหม่ๆมาเปิดประเด็นกันได้ไม่รู้จักจบซึ่งนั่นทำให้นาตาชาอดสงสัยไม่ว่าพวกท่านๆไม่รู้จักเหนื่อยกันบ้างเหรอ

 

“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วนะจ๊ะหนูแนท” เจ้าของชื่อยิ้มสดใสให้คุณนายแดนเวอร์สก่อนจะตอบ

 

“สิบเจ็ดปีค่ะ” เธอได้ยินเสียงว้าวมาจากสักที่ในห้อง ก่อนจะรู้สึกว่ามีมือปริศนากำลังยีหัวเธอเบาๆจากด้านหลัง

 

“จะสิบเจ็ดขวบแล้วเหรอ” เจ้าของมือก็ก้มหน้ามาข้างๆแล้วทำหน้าล้อเลียน เสียงคุณนายแดนเวอร์สเอ็ดแครอลให้ไปนั่งที่ของตัวเองซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ คนตัวสูงยักไหล่แล้วเดินอ้อยอิ่งไปที่นั่งของตัวเอง “มีแต่ของโปรดทั้งนั้นเลยอ่ะ”

 

“สำรวมหน่อยแครอล” คุณนายแดนเวอร์สดูอีกครั้งก่อนจะหันไปทางฝั่งที่คุณพ่อกับคุณแม่นั่งอยู่ “ไหนๆก็จะสิบเจ็ดแล้ว มีแพลนให้หนูแนทไปเรียนต่างประเทศหรือยังคะ?”

 

คุณพ่อกับคุณแม่มองหน้ากันก่อนที่คุณพ่อจะตอบโดยที่ไม่เอ่ยถามนาตาชาเลยสักนิด “โฮมสคูลก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไร เรียนอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆก็ดีเหมือนกัน”

 

ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้นอย่างฉับพลันรอบตัวนาตาชา เธอไม่รู้ว่าควรทำหน้าแบบไหนออกไปดีถึงแม้ว่าผู้ใหญ่รอบข้างจะคงพูดคุยกันต่อไปแต่เสียงที่ว่าเหล่านั้นก็ดังห่างออกไปทุกที

 

แล้วสเต็กในจานก็มีบร็อกโคลี่สีเขียวๆสองสามชิ้นเข้ามาเพิ่มเติมจากฝั่งตรงข้าม แครอลขะมักเขม้นกับการตักผักจากจานตัวเองใส่ในจานของเธอพูดขึ้นอย่างติดตลก “กินผักเยอะๆแนท จะได้โตเร็วๆ”

 

นาตาชายกยิ้มข้างเดียวอย่างรู้ทัน “หาเรื่องไม่กินผักเหรอแครล” แล้วก็จัดการคืนผักใส่จานคนตรงข้าม แครอลทำหน้าเหยเกเมื่อเห็นปริมาณผักใบเขียวกลับมาเท่าเดิม

 

“ไม่เอาสิแนท” แครอลงอแงจะคืนผักใส่จานเธออีกรอบ แต่คราวนี้แนทไหวตัวทันยกจานหลบอย่างรวดเร็วก่อนที่ช้อนของแครลจะถึงจานของเธอ เสียงเอ็ดของคุณนายแดนเวอร์สเพื่อเตือนทั้งสองว่าอย่าเล่นบนโต๊ะอาหาร แต่ก็มีเสียงของคุณลุงแดนเวอร์สบอกกลับมาว่าไม่เป็นไร

 

ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสดใส

 

.

.

.

 

“คิดว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว” แนทเปรยขึ้นขณะที่ยกจานมาวางข้างๆซิงค์ล้างจานที่มีคนตัวสูงกำลังใช้งานอยู่ พวกเธอปฏิเสธที่จะให้แม่บ้านมาทำส่วนนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าอยู่คุยกันอีกสักหน่อยก่อนแยกย้ายกันไปนอน คุณแม่บ้านที่เห็นว่าทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานจึงปล่อยให้คุณหนูทั้งสองของบ้านเข้าครัวช่วยกันล้างจานอย่างช่วยไม่ได้

 

คนตัวสูงยกไหล่ “กว่าจะหาวันว่างได้ก็ยากเหมือนกัน” แครลยื่นชี้นิ้วที่เต็มไปด้วยฟองน้ำยาล้างจาน “ส่งกองนั้นมาหน่อย”

 

“จริงๆเราน่าจะใช้เครื่องล้างนะแครล”

 

“ไม่จำเป็นหรอก” เธอบอก “อยากอยู่คุยต่ออีกหน่อย เราไม่ได้เจอกันตั้งสามปีนะแนท”

 

แนทพยักหน้า แล้วดันตัวขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ไม่สนว่าน้ำจากซิงค์อาจจะกระเด็นเปื้อนกระโปรงของเธอ “จริงๆเราไปคุยกันต่อที่ห้องเธอก็ได้นะแครล”

 

แครลชะงัก “ไม่ดีหรอก” เธอรีบตอบ

 

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง แนทมองใบหน้าด้านข้างของแครล ต่างหูที่แกว่งไปมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวเรียกความสนใจจากเธอ “แต่ก่อนกลัวเข็มไม่ใช่เหรอ”

 

แครอลยิ้มขณะที่ถอยออกมาเช็ดมือเพื่อเปลี่ยนให้แนทเข้ามาทำหน้าที่ส่วนที่เหลือ คนตัวเล็กยักไหล่แล้วกระโดดลงมา

 

“คนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง” แครอลตอบคำถาม มองคนตัวเล็กที่กำลังทำเสียงเลียนแบบประโยคเมื่อสักครู่ของเธอแล้วหัวเราะออกมา

 

“ไม่แครล เธอไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด” แนทโคลงหัวตามจังหวะการพูด” เธอยังอิดออดที่จะกินผักเหมือนเดิม หลับเร็วเหมือนเดิม และผมยังสีเดิม” ก่อนจะเอียงคอมองคนตัวสูงข้างๆทำหน้าราวกับว่าทั้งหมดที่เธอพูดเป็นความจริงแล้วหันกลับไปสนใจจานชามในซิงค์ตรงหน้า

 

แครอลพ่นลมหายใจก่อนจะส่ายหน้าเพราะความเอ็นดู เธอมองปอยผมแดงที่หลุดออกมาจากเปียสีแดงของแนท

 

“เชื่อเถอะแนท” มือเรียวเอื้อมไปที่ปอยผมนั้น จงใจให้ปลายนิ้วลากผ่านข้างแก้มเนียนนุ่มของเจ้าของผมเปียแล้วเกี่ยวเอาปอยผมที่ร่วงลงมาขึ้นทัดหูดให้อย่างเบามือ เธอพูดเสียงเบาลงแทบกลายเป็นกระซิบ

 

“ฉันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”

 

 

.

TBC

MCU · My Fiction

[ScarlettBrie]Unpredictable I

Unpredictable

Drunk or not

 

 

ขวดเปล่าของแอลกอฮอล์ถูกหมุนตามแรงเหวี่ยงจากมือของหญิงสาวบนพื้นไม้ของโต๊ะ ในกลุ่มเพื่อนทั้งห้าคนที่ชวนกันมาปาร์ตี้บางคนมองขวดที่ถูกหมุนอยู่กลางวง บางคนยกแก้วขึ้นดื่มอย่างไม่ค่อยยี่ระอะไรแต่ในใจก็แอบลุ้นตามไปด้วยว่าปากขวดมันจะไปหยุดตรงหน้าใคร เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุดพวกเขาจึงชวนชาวแกงค์มาปาร์ตี้กันหลังจากที่ต้องตรากตรำทำโปรเจคใหญ่ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา และแน่นอนว่าพวกเขาได้วันหยุดชดเชยจากเจ้านายแสนดีเนื่องจากใช้วันหยุดของตัวเองไปกับโปรเจคดังกล่าว เพราะฉะนั้นก็คงพูดได้เต็มปากว่า สุขใดเล่าจะเท่าการที่ได้เมาหัวราน้ำแล้ววันถัดไปไม่มีงานให้ต้องเคลียร์

 

“บรีเติมน้ำแข็งให้หน่อย” เจ้าของชื่อรับแก้วแล้วทำตามเพราะตัวเองนั่งอยู่ทิศตะวันตัก เธอยื่นกลับคืนเจ้าของแล้วได้ยินเสียงคำขอบคุณที่ติดยานคางนิดๆกลับมา

 

“ว่าแต่คำท้าครั้งนี้คืออะไรวะ?” บรีถามสการ์เล็ตที่นั่งถัดไปฝั่งซ้ายมือเนื่องจากเธอเพิ่งกลับมาจากห้องน้ำจึงไม่รู้คำท้าที่ถูกทิ้งไว้ก่อนจากไป สการ์เล็ตหันมามองเธอ ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

 

“ไปขอคอนแทคของหนุ่มสักคนแถวๆนี้” ได้ยินคำตอบบรีก็เบะปากเล็กๆแล้วยักไหล่ ก่อนจะเอนตัวไปข้างหน้า เท้าศอกกับหัวเข่าทั้งสอง ขมวดคิ้วมองขวดที่หยุดแน่นิ่ง ปากขวดชี้ไปที่เทสซ่าเพื่อนสนิทของเธอ

 

เสียงแซวจากเพื่อนๆในกลุ่มทันทีที่ขวดหยุดรวมไปถึงบรีเองก็ส่งเสียงเช่นกัน ฝ่ายถูกท้าจากปากขวดลุกขึ้นแล้วทำท่าแบบเจ้าหญิงจับจีบกระโปรงกางออกแล้วย่อเข่าลงด้วยจริตจะก้านที่ดูกวนโอ๊ยแก่ผู้มองเห็น แล้วหายกลมกลืนไปกับผู้คนเพียงไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมกับคอนแทคของชายหนุ่มที่โชว์ร่าบนจอมือถืออย่างจงใจให้เพื่อนเห็น

 

“ไม่เบานะเนี่ยเทสซ่า” สการ์เล็ตเอ่ยแซว บรีเห็นด้วย “ท้าต่อเลยสิ”

 

เทสซ่าเม้มปากอมยิ้มราวกับนึกอะไรดีๆออก

 

“ขอท้าให้…” เธอหมุนขวด “…จูบคนที่อยู่ฝั่งขวามือ20วิ!”

 

เสียงโฮ่ออกมาอย่างเซ็งๆจากเดอะแก๊งค์เพราะเป็นคำท้าที่ไม่ได้ท้าทายอะไรสักเท่าไหร่สำหรับพวกเธอ ทันทีที่ขวดถูกหมุน บางคนก็เอนหลังพิงกับพนักพิงของโซฟา แรงยวบจากข้างๆทำให้บรีหันไปมองสกาเล็ตที่ทิ้งตัวลงไป สายตาทอดไปที่กลางโต๊ะแต่ไม่ได้จับจ้องอะไรเป็นพิเศษ บรีทิ้งตัวตามไป วางศอกบนพนักพิงเพื่อเท้าหัวตัวเอง

 

“คิดว่าจะไปหยุดที่ใคร” เธอถามขณะที่จ้องมองขวดตรงกลางวง

 

“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ฉัน”

 

“ไม่อยากจูบฉันขนาดนั้นเลยหรือไง” บรีแกล้งแหย่สาวข้างๆ

 

สการ์เล็ตยกแก้วดื่มก่อนจะตอบ “เพิ่งซื้อลิปสติกมาใหม่ต่างหาก ลองคิดภาพว่ามันไปอยู่บนปากคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของมันสิ ใช่ มันเปลืองย่ะ”

 

บรีเค้นเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย เธอไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องสำอางด์ราคาแพงสักเท่าไหร่เพราะทุนเดิมตัวเธอเองก็ไม่ใช่คนที่จะแต่งหน้ามาทำงานทุกวัน วันไหนขี้เกียจหรือตื่นสายหน่อยก็แค่คว้าอะไรได้ก็ใช้อันนั้นแล้วค่อยออกมาเจอผู้คน ผิดกับคนข้างๆอย่างสิ้นเชิง

 

เธอยกแก้วขึ้นดื่มบ้าง เริ่มรู้สึกมึนๆเพราะเธอเองก็ดื่มไปมากพอควร สติลดลงไปกว่าครึ่งส่วนหัวก็เริ่มโคลงไปมาตามจังหวะเพลงแล้วหลับตาพริ้ม

 

ปลายขวดหยุดตรงหน้าสการ์เล็ต เธอส่งเสียง What! พร้อมกระดกของเหลวที่เหลืออยู่ในแก้วตนจนหมด ก่อนจะหันไปสะกิดคนด้านขวามือตัวเองที่เธอเพิ่งบ่นเกี่ยวกับลิปสติกให้ฟังไป อีกคนลืมตาทำหน้าตื่นๆ สการ์เล็ตพ่นลมจากปากอย่างเบื่อหน่าย

 

“ขวดมันหยุดที่ฉัน”

 

“แล้ว?”

 

“คนด้านขวามือคือเธอ”

 

บรีขมวดคิ้ว หันกลับไปมองขวดที่ปลายของมันชี้มาทางสการ์เล็ตและมองเหล่าเพื่อนๆที่ตั้งตาคอยดูการท้าทายครั้งนี้ว่าสการ์เล็ตจะทำสำเร็จหรือไม่ ก่อนจะสลับมามองคนข้างๆ ดันตัวนั่งตรงพร้อมยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

 

“เดี๋ยวจ่ายค่าลิปสติกคืน”

 

“งั้นขอเป็นรุ่นเดิมแต่คนละสี”

 

บรีตอบตกลง มันจะอะไรไปมีอะไร ก็แค่การจูบกับผู้หญิงด้วยกันเอง

 

เธอหลับตา เชิดหน้าขึ้นสุดคอแล้วยิ้มยียวนตามประสาคนขี้เล่น แรงยวบที่พนักพิงทำให้บรีนึกได้ว่าสการ์เล็ตตัวเล็กกว่าแต่เธอก็ดันแกล้งยกหน้าจนสุดคอทำให้คนถูกท้าต้องยันพนักพิงเพื่อดันตัวให้ขึ้นมาจูบเธอ

 

สัมผัสแรกที่รู้สึกคือปลายจมูกแตะที่ข้างแก้มของเธอ

 

สัมผัสต่อมาเป็นความนุ่มของริมฝีปากที่แตะลงบนอวัยวะเดียวกัน และตอนนี้ปลายจมูกของเธอก็แตะที่ข้างแก้มของสการ์เล็ตจนได้กลิ่นหอมๆจากเครื่องสำอางค์ที่ถูกแต่งแต้ม เสียงนับถอยหลังจากเลข20เริ่มดังห่างไกลตามไปจนแทบไม่ได้ยิน

 

18

 

17

 

16

 

สัมผัสได้ถึงฝ่ามือของคนถูกท้าประคองใบหน้าของตัวเองไว้ บรีเริ่มแยกไม่ออกว่าไอ้ความรู้สึกอุ่นๆที่กำลังก่อตัวในช่องท้องมันเกิดจากแอลกอฮอล์หรือเกิดจากน้ำหอมของคนตรงหน้ากันแน่

 

10

 

9

 

8

 

เพื่อนนับถึงไหนแล้วบรีเองก็ไม่อาจจำได้ สการ์เล็ตก็เช่นกัน เธอสัมผัสได้ว่าอีกคนยกมือมาวางแปะไว้บนสะโพกของเธอ แต่ก็ไม่ได้ถือสาอะไรแถมเธอเองยังอยากให้คนตรงหน้าทำอะไรมากกว่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเมาหรือเปล่าถึงได้เกิดความคิดแปลกประหลาดแบบนี้กับเพื่อนร่วมงาน ใช่ เธอเมา สการ์เล็ต เธอเมา

 

5

 

4

 

น้ำหอมของอีกฝ่ายกลายเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนไปเสียแล้วในสมองของทั้งสองคน

 

2

 

1

 

 

สิ้นเสียงนับถอยหลังของเพื่อนๆ สการ์เล็ตผละออกจากบรี ทอดสายมองคนข้างล่างอย่างอ้อยอิ่ง อีกฝ่ายมองเธอกลับเช่นกัน ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นเมื่อเธอเห็นลิปสติกสีโปรดของเธอไปอยู่ริมฝีปากของอีกฝ่าย ปากอวบอิ่มเม้มหากันก่อนจะทิ้งตัวลงที่เดิมแล้วเริ่มเกมส์ตาต่อไปทันทีโดยที่มีความรู้สึกแบบนี้คอยกวนใจอยู่ข้างหลัง

 

บรีมองคนข้างๆที่หันไปเล่นเกมส์ต่ออย่างไม่รู้สึกอะไร พร้อมกับกับส่ายหน้าให้กับตัวเองที่มีความคิดแปลกประหลาดอยู่ฝ่ายเดียว เธอข้ามโต๊ะไปชนแก้วกับเทสซ่า ทิ้งความรู้สึกเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง

 

 

 

 

TBC

MCU · My Fiction

𝘎𝘰𝘰𝘥 𝘛𝘰𝘨𝘦𝘵𝘩𝘦𝘳

Pairing: Carolnat

Rate: ใสๆไปเรย!

 

 

– 𝘎𝘰𝘰𝘥 𝘛𝘰𝘨𝘦𝘵𝘩𝘦𝘳 –

 

 

ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า นาฬิกาบ่งบอกเวลายามเย็นที่แสงสีส้มย้อมท้องฟ้าเป็นสีสันที่ดูแปลกตากว่ายามกลางวัน พลันแสงจากไฟประดับดวงเล็กดวงน้อยที่ห้อยไว้ตามจุดต่างๆของบริเวณงานเทศกาลในหน้าร้อนก็โดดเด่นขึ้นมาทันตา

 

 

แครอลกดชัตเตอร์ถ่ายภาพคู่เด็กชายหญิงที่กำลังรับขนมสายไหมมาจากคนขาย ภาพพื้นหลังเป็นคุณแม่ของเด็กน้อยและคนรอบข้างมองมาทีาเด็กสองคนอย่างเอ็นดู เธอเดินเข้าไปหาคนเป็นแม่แล้วเปิดรูปที่เธอเพิ่งถ่ายได้ให้หล่อนดู พร้อมกับขอคอนแทคส์ที่เธอสามารถส่งรูปให้ได้

 

 

งานอดิเรกของเธอคือการถ่ายภาพ และเธอมักจะส่งรูปนั้นๆให้บุคคลที่ปรากฎอยู่ในรูปถ่าย ในทางกลับกันเธอก็ยินดีที่จะลบรูปหากว่าเจ้าของนั้นไม่อนุญาตให้เธอถ่าย

 

 

แครอลเดินไปเรื่อยๆผ่านร้านต่างๆที่แข่งกันแต่งให้สีสันสดใส ที่เธอประทับใจที่สุดคงเป็นรถเข็นขายป๊อปคอร์นนี่แหละ มันดันอยู่ตำแหน่งที่มีชิงช้าสวรรค์และไฟประดับหลายดวงเป็นฉากหลังพอดี

 

 

เธอเปิดดูรูปที่เพิ่งถ่ายไป

 

 

มันเป็นไปตามคอนเซปต์ที่เธอต้องการ แครอลอมยิ้มนิดๆ พลันสายตาก็ไปเจออะไรที่น่าสนใจในภาพถ่าย

 

 

ผู้หญิงผมบลอนด์ที่หอบถังป๊อปคอร์นและกำลังเดินจากไป ถ้าเธอมองไม่ผิดคนในรูปถ่ายก็สะพายกล้องรุ่นเดียวกับเธอไว้ที่คอ แครอลรู้สึกสนใจผู้หญิงในรูปถ่ายขึ้นมาทันที แต่พอละสายตาจากกล้องแล้วกวาดสายตาไปรอบๆก็ไม่เห็นวี่แววของผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว

 

 

” หายไปไหนนะ ”

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

แครอลไม่รู้ว่าจะหาเธอคนนั้นเจอได้จากที่ไหน

 

 

ทั้งที่ก็ไม่ใช่พื้นที่จัดงานที่ใหญ่โตอะไรแต่กลับหาอีกฝ่ายไม่เจอราวกับว่าเธอคนนั้นมาแค่เพื่อซื้อป๊อปคอร์นแล้วตรงดิ่งกลับบ้านเลยอย่างนั้นแหละ

 

 

แครอลถอนหายใจ ทิ้งตัวนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลือจากการจับจอง แล้วเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นก็ดังไม่ไกลจากเธอ ตรงนั้นมีการแสดงโชว์ของนักมายากลกับตัวตลกกำลังแจกอมยิ้มให้คนโดยรอบ คู่รักหลายคู่แอบอิงกันชมกาีแสดงตรงหน้า แครอลคิดว่าภาพนั้นมันน่ารักดี และแน่นอนเธออยากที่จะเก็บภาพน่ารักๆนั่นไว้

 

 

แชะ

 

 

เสียงชัตเตอร์ที่เธอค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่ของเธอภึงแม้ว่ามันจะดังในจังหวะเดียวกัน เธอหันซ้ายขวาค้นหาต้นเสียง สีบลอนด์ของเส้นผมที่ถูกลมปะทะเบาๆ กับสันจมูกจากใบหน้าด้านข้างของผู้หญิงคนนั้นดูเด่นสะดุดตาออกจากผู้คนโดยรอบ

 

 

แครอลกดชัตเตอร์ในขณะที่ใบหน้านั้นกำลังหันมา

 

 

มือเรียวหมุนเลนส์ปรับโฟกัสพร้อมกันกับที่คนในกรอบโฟกัสค่อยๆคลี่ยิ้มให้กล้องของเธอ

 

 

หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เธอรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังตกหลุมรัก

 

 

ผู้หญิงคนนั้นยกกล้องมาถ่ายแครอลเช่นกัน ก่อนจะเดินตรงมาหาเธอ

 

 

“ไง”

 

 

” ส..สวัสดี” แครอลตอบกลับตะกุกตะกัก รู้สึกว่ามือไม้มันเกะกะไม่รู้ว่าควรจะยกขึ้นมาโบกทักทายอย่างเป็นมิตรหรือยื่นออกไปจับทักทาย สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บมันเข้ากระเป๋าหลังกางเกงยีนส์

 

 

อีกฝ่ายชูกล้องขึ้นมาตรงหน้า

 

 

” เป็นสาวกเจ้ากล้องรุ่นนี้เหมือนกันสินะ ” อีกฝ่ายพูดอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วมองมาที่กล้องของแครอลอย่างพิจารณา

 

 

” อืมม รุ่นใหม่กว่าด้วย ”

 

 

แครอลพยักหน้าหงึกๆ

 

 

ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกล้องและเทคนิคต่างๆในการถ่ายภาพวิวกลางคืนเธอชื่อนาตาชาและเธอก็ใจดีพอที่จะไม่ถือสาอะไรเมื่อแครอลเผลอเรียกว่าแนทราวกับว่าเรารู้จักกันมานาน สไตล์การถ่ายภาพของแนทไม่ต่างอะไรจากเธอมากเท่าไหร่นัก พวกเราคุยกันนานพอสมควรที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายสนใจอะไร และเผอิญว่าความสนใจของพวกเรามันดันเหมือนกันด้วยนี่สิ

 

 

แครอลไม่ใช่คนข่างพูด แต่วันนี้เธอกลับพูดเยอะกว่าทั้งปีที่ผ่านมาเสียอีก คงต้องยกความดีให้แนทด้วยเช่นกันเพราะเธอเป็นคนคุยเก่งแถมมั่นใจในตัวเองมากๆด้วยล่ะ มีหลายครั้งเลยที่เธอไม่ทันฟังเนื้อความที่แนทพูดเพราะเธอดันไปสนใจใบหน้าที่กำลังพูดถึงสิ่งที่ชอบมากกว่า

 

 

ดูมีความสุขจังเลยนะ อดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้

 

 

” ต้องไปแล้วล่ะ ”

 

 

แครอลรู้สึกเสียศูนย์ไปเล็กน้อย

 

 

” ต้องกลับแล้วเหรอ? ” ไม่อยากให้กลับเลย

 

 

” อืม ” แนทลุกขึ้น บิดตัวเล็กน้อย ” สนุกมากเลยวันนี้ ”

 

 

“แต่เรารู้สึกว่าแทบไม่ได้คุยอะไรเลยนะ ฮ่าๆ” แครอลพิงพนักเก้าอี้ แสร้งดูดน้ำจากแก้วแดงขาวเสียงดังเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากคนผมบลอนด์

 

 

” คิดมากไปแล้ว ” แนทหัวเราะคิกคัก ” ไปแล้วนะ บาย ” พร้อมกับหันมาฉีกยิ้มแล้วโบกมือ แครอลตอบกลับเช่นเดียวกัน แล้วมองแนทหันหลังจากไปจนลับสายตาโดยที่ไม่คิดจะเรียกรั้งเธอไว้แม้ว่าจะอยากทำมากแค่ไหนก็ตาม

 

 

การตกหลุมรักครั้งนี้มันเร็วไปมันทำให้เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

บางทีการปล่อยให้สมองโล่งได้คิดอะไรสักพักก็ดีเหมือนกัน แครอลยังนั่งอยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนอริบทมาเป็นนั่งกางแขนกางขาให้เต็มม้านั่งเพื่อแสดงว่าตนได้จับจองพื้นที่ตรงนี้เต็ม100%และห้ามใครเข้ามายุ่ง

 

 

ถึงจะดูเห็นแก่ตัว แต่ขออยู่คนเดียวสักพักเถอะ

 

 

แครอลรู้ว่าการตกหลุมรักครั้งนี้มันเร็วกว่าก่อนๆ

 

 

แต่เธอเองก็รู้ว่าการตกหลุมรักครั้งนี้มันลึกกว่าครั้งไหนๆเช่นกัน

 

 

แครอลแกจะปล่อยไปจริงๆเหรอ

 

 

เธอถามตัวเองอีกครั้ง

 

 

” … ”

 

 

แครอลกดดูรูปในกล้อง เลื่อนไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่รูปแนทกำลังยิ้ม

 

 

เธอเป็นผู้หญิงที่คุยเก่ง เสียงเซ็กซี่นั่นฟังเพลินขนาดไหนตัวเธอเองคงไม่รู้หรอก

 

 

เธอมั่นใจในตัวเองแถมยังตัวหอมมากๆอีกด้วย

 

 

โดยรวมๆแล้วแนทเป็นผู้หญิงตัวเล็ก…แต่ความน่ารักของเธอมันดันเท่าโลกซะได้

 

 

และแครอลเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแอบถ่ายรูปแนทมาเยอะขนาดนี้อีกด้วย

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

” Damn it!” แครอลสบถ

 

 

“ตัวก็เล็กแค่นี้แต่ทำไมถึงได้น่ารักจังวะ!”

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

แครอลตามหาเจ้าของผมสีบลอนด์ที่น่ารักเท่าโลกสำหรับเธออย่างกระวนกระวายไปทั่วงาน เธอหอบน้อยๆจากการเดินที่ไม่ได้หยุดพักเลยเกือบๆชั่วโมง

 

 

แนทบอกว่าต้องไปแล้วล่ะ แต่เธอไม่ได้บอกว่าจะกลับนี่ แครอลรู้ว่าบางทีมันอาจจะหมายความตรงข้ามกับที่เธอคิด แต่ยังไงเธอก็ยังแอบหวังอยู่ดีว่าแนทจะยังไม่กลับจริงๆ

 

 

และก็ยังแอบหวังไปอีกว่าแนทอาจจะรออยู่ที่ไหนสักที่

 

 

รู้ว่าแอบหวังมากเกินไปกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แต่ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายดันหยิบหัวใจเธอติดมือไปด้วยไง จะไม่ให้ตามหามันก็จะดูไม่เหมาะสมกับความเป็นเจ้าของ

 

 

ดนตรีบรรเลงกับกลิ่นหอมๆของขนมและคาราเมลจากร้านป๊อปคอร์นลอยล่องในอากาศให้ประสาทสัมผัสได้รับรู้ ตอนนี้เวลาเริ่มดึกลงเรื่อยๆและอากาศก็ลดลงจากตอนกลางวันเช่นกัน เธอมองตามดวงไฟไปจนไปถึงจุดกำเนิดแสงหลายสีสันขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

แนทยืนอยู่ตรงนั้น…ที่ทางขึ้นชิงช้าสวรรค์วงใหญ่นั่น ผมสีบลอนด์ของเธอสะท้อนไฟนีออนหลากสีที่เป็นฉากหลัง เธอกำลังยิ้มให้แครอล

 

 

หัวใจที่ห่อเหี่ยวลงไปชั่วครู่กลับมากระปรี้กระเป่าอีกครั้ง พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็รู้กสึกเหมือนถูกเติมด้วยของหวานๆจนเต็มตัว แม้จะรู้ว่ามดอาจจะขึ้นมากัดกินความหอมหวานแต่เธอก็ยอมที่จะไขว่คว้าความรู้สึกที่ยากจะต้านทานแบบนี้เอาไว้

 

 

ครั้งนี้จะไม่ปล่อยเดินหายไปง่ายๆอีกแล้ว

 

 

“ไง” แครอลเป็นคนเริ่มทักทาย แนทตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

 

 

” Hey”

 

 

“ไหนบอกว่าต้องไปแล้วไง” แครอลถามขณะที่ยื่นแบงค์ดอลล่าให้พนักงานขายตั๋ว

 

 

“ก็ไม่ได้บอกว่าจะกลับนี่” แนทตอบกลับอย่างหยอกล้อพร้อมยักไหล่เล่นหูเล่นตา

 

 

แครอลหัวเราะเบาๆแล้วส่ายหน้า เธอได้เรียนรู้อีกอย่างว่าแนทเองก็ขี้แกล้งเหมือนกัน

 

 

“แสดงว่าคืนนี้ว่าง”

 

 

“แล้วถ้าเราตอบว่าไม่?”

 

 

“ไฟล์ทบังคับ ถ้างั้น”

 

 

ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน แครอลชูตั๋วสองใบแล้วโบกตรงหน้าคนตัวเล็ก

 

 

“ว่างคุยกันทั้งคืนมั้ย? ”

 

 

คำถามของแครอลทำให้แนทอมยิ้มอย่างเขินอาย เธอหูแดงและแครอลก็ไม่ได้บอกเพราะว่ามันน่ารักมากๆ

 

 

“ถามอย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”

 

 

แนททำหน้าครุ่นคิดก่อนจะมองตรงมาทางแครอล คนตัวเล็กกว่าค่อยๆเขยิบเข้ามาจนแทบจะชิดกัน กลิ่นหอมๆจากแนททำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งคนตัวเล็กเขย่งเท่าใกล้เข้ามาเรื่อยๆแครอลยิ่งทำตัวไม่ถูก เธอจึงเลือกที่จะหลับตาลงและรู้สึกถึงแรงมือของคนตรงหน้าที่ดึงแขนเสื้อเธอให้โน้มต่ำลงไป

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

“ไปซื้อป๊อปคอร์นก่อนนะ”

 

 

” … ”

 

 

แครอลกลั้นหัวเราะเพราะได้ยินเสียงหัวเราะที่เล็ดลอดออกมากจากปากคนตรงหน้า ดูเหมือนว่าแนทเองจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เพราะแกล้งเธอได้สำเร็จอีกครั้ง

 

 

แล้วทั้งคู่ก็ขำพรืดทั้งที่หลับตานั่นแหละ

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

: PHOTO SENT❤️💛

 

 

END

☺️